ธนาคารแห่งประเทศไทยชี้คนไทยรุ่นใหม่ เผชิญความท้าทายมากขึ้น และขาดความมั่นคง 3 ด้าน ห่วงบั่นทอนเศรษฐกิจระยะยาว

ธนาคารแห่งประเทศไทยชี้คนไทยรุ่นใหม่ เผชิญความท้าทายมากขึ้น และขาดความมั่นคง 3 ด้าน ห่วงบั่นทอนเศรษฐกิจระยะยาว
Highlight

ประเทศไทยในอดีตเคยมีอัตราการเติบโตสูงในระดับ 7-8% ต่อปี จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งการระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดผลกระทบต่อการการเติบโตของประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำการศึกษาเชิงลึกถึงอนาคตในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ที่ฝากไว้ในมือคนรุ่นใหม่พบว่าน่ากังวล เนื่องจาก Next Generation ยังมีความท้าทายหลายด้าน ทั้งความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่ลดลง ภาระหนี้มาก เป็นต้น


20220929-c-01.jpg

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทย ประจำปี 2565 หัวข้อ ก้าวสู่ยุคใหม่เศรษฐกิจการเงินไทย Strengthening Economic and Financial Foundations for the Next Generation ว่าปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยยิ่ง ไม่เพียงแต่เรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ประเทศไทยยังเผชิญกับความจำเป็นในการปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไปในอนาคตได้นั้นคือ คนรุ่นต่อไป (next generation) ไม่ว่าจะเป็นเด็กวัยเรียน คนวัยเริ่มทำงาน หรือคนที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่จะเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต

ดังนั้น การวาง “รากฐาน” (foundations) ของระบบเศรษฐกิจและการเงินที่เอื้อต่อการสร้างศักยภาพและความมีส่วนร่วมให้กับคนรุ่นใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นที่มาของงานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทยในวันนี้ภายใต้หัวข้อ “ก้าวสู่ยุคใหม่เศรษฐกิจการเงินไทย Strengthening Economic and Financial Foundations for the Next Generation”

อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่เป็นกลุ่มคนที่มีพลัง กล้าคิดกล้าลอง อยากเรียนรู้ สนใจในโอกาสที่เพิ่มขึ้นจากโลกที่ไร้พรมแดนและนวัตกรรม คนรุ่นใหม่จึงเต็มไปด้วยศักยภาพที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่น่ากังวลว่าคนไทยรุ่นใหม่จำนวนมากยังขาดความมั่นคงในอนาคต (insecurity) ในหลายด้าน

ในด้านที่หนึ่งนั้น คนไทยรุ่นใหม่จำนวนมากขาดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ (economic insecurity)

ประการแรก คนรุ่นใหม่กำลังเผชิญกับความท้าทายในการหาเลี้ยงชีพและการสร้างรายได้ที่มากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับคนรุ่นก่อนๆ ที่สั่งสมความมั่งคั่งในช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟูในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตช้าลงอย่างต่อเนื่อง จากอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยที่สูงถึง 7.2% ต่อปีในช่วงทศวรรษ 1980s ลงเหลือ 3.6% ในช่วงทศวรรษ 2010s

ประการที่สอง การศึกษาและการพัฒนาทักษะของคนรุ่นใหม่ให้ทันสมัยอยู่เสมอทำได้ยากขึ้นกว่าคนรุ่นก่อน เนื่องจากบริบทโลกมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและความไม่แน่นอนในอนาคตที่สูงขึ้น

ทั้งจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด กระแสความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่เข้มข้นขึ้นอย่างรวดเร็ว และการเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์โลกที่กระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สร้างคำถามต่อคนรุ่นใหม่

ไม่ว่าจะเป็นเด็กวัยเรียนหรือคนที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ว่าทักษะใดที่จะตอบโจทย์ความต้องการของโลกในอนาคต (skills for the future) งานและรูปแบบการทำงานจะเปลี่ยนไปอย่างไร อาชีพปัจจุบันจะอยู่รอดและเติบโตในอนาคตหรือไม่ (future of work)

ประการที่สาม คนรุ่นใหม่มีภาระหนี้ที่สูงกว่าคนรุ่นก่อนๆ คนไทยเริ่มเป็นหนี้เร็วขึ้น และเป็นหนี้เสียตั้งแต่อายุยังน้อย โดยครึ่งหนึ่งของคนอายุประมาณ 30 ปี มีหนี้จากสินเชื่ออุปโภคบริโภคหรือหนี้จากบัตรเครดิต ขณะที่หนึ่งในห้าของคนที่เป็นหนี้เสียกระจุกอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ช่วงอายุ 29 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มคนวัยทำงานและอยู่ในช่วงสร้างรากฐานครอบครัว


ในด้านที่สองนั้น คนไทยรุ่นใหม่จำนวนมากขาดความมั่นคงทางสังคม (social insecurity)

คนไทยรุ่นใหม่เติบโตมาในช่วงที่ความขัดแย้งทางสังคมมีความรุนแรงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจของ World Value Survey ที่พบว่าประเทศไทยมีคะแนนความเชื่อใจกันของคนในสังคมลดลงถึงหนึ่งในสี่ในช่วงเวลาเพียง 10 ปี ระหว่างปี 2008-2018 ส่วนผลสำรวจเรื่องความแตกแยกในสังคมโดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างของคนอายุต่ำกว่า 40 เห็นว่าสังคมไทยมีคุณภาพต่ำกว่า เมื่อเทียบกับความคิดเห็นจากกลุ่มคนอายุ 40 ขึ้นไป ซึ่งสถานการณ์นี้ไม่ได้จำเพาะเจาะจงกับประเทศไทยเท่านั้น ผลการสำรวจจากกว่า 40 ประเทศของ Deloitte Global Millennial Survey พบว่ามีคนรุ่นใหม่แค่ 36% ในกลุ่มตัวอย่างในปี 2017 ที่คาดว่าสภาพสังคมและการเมืองจะดีขึ้น และสัดส่วนนี้ยังลดลงเหลือเพียง 24% ในปี 2019

สิ่งที่น่ากังวลสำหรับประเทศไทยคือ ความไม่มั่นคงทางสังคมนี้ไม่ได้มีแนวโน้มที่จะลดลงในอนาคต ซึ่งเกิดจากการบริโภคสื่อที่มีความเห็นใกล้เคียงกับคนฝั่งเดียวกัน (echo chamber) ในระดับสูง มีแนวโน้มที่จะมีความคิดสุดขั้วและรู้สึกอคติต่อคนฝั่งตรงข้ามมากกว่า รวมถึงสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยที่สูง โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำทางโอกาส ยิ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความตึงเครียดและความไม่มั่นคงในสังคม


ในด้านที่สามนั้น คนไทยรุ่นใหม่จำนวนมากขาดความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อม (environmental insecurity)

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เร่งตัวและรุนแรงขึ้นจะสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน โดยไทยถือเป็นประเทศลำดับต้น ๆ ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากภัยธรรมชาติ ขณะที่ขีดความสามารถในการรับมือกับภัยธรรมชาติของไทยค่อนข้างต่ำ โดยอยู่ในอันดับที่ 39 จาก 48 ประเทศ

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ในอนาคตของคนไทย ไม่เพียงแต่รายได้และทรัพย์สินที่เสียหายจากภัยธรรมชาติที่เกิดถี่ขึ้นและรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังกระทบการผลิตในภาคเกษตรที่เป็นแหล่งอาหารสำคัญของคนไทย นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่าการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจากการที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้นจะทำให้พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นเขตที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นมีความเสี่ยงสูงที่จะประสบภาวะน้ำท่วม

ดังนั้น การขาดความมั่นคงในอนาคตทางสิ่งแวดล้อมของคนรุ่นใหม่จึงครอบคลุมถึงการขาดความมั่นคงทางอาหาร (food insecurity) และการขาดความมั่นคงในถิ่นฐานที่อยู่ (insecurity in human settlements) อีกด้วย

ความไม่มั่นคงในอนาคตเหล่านี้จะบั่นทอนแรงจูงใจ ความพร้อม และโอกาสของคนรุ่นใหม่ที่จะพัฒนาทักษะ ลงทุน บุกเบิกธุรกิจใหม่ๆ และก้าวเข้ามาเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในโลกที่มีความไม่แน่นอนสูง

ติดต่อโฆษณา!