Black Monday ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญแรงขายหนักหวั่นเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย

ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงอย่างหนักเมื่อวานนี้ ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 1,100 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ดิ่งลง 3% โดยนักลงทุนยังคงขายหุ้นเทคโนโลยี ทำให้หุ้นเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีผลงานแย่ที่สุดในวันจันทร์ที่ผ่านมา การร่วงลงของตลาดหุ้นในครั้งนี้เกิดจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หลังจากรายงานการจ้างงานในเดือนกรกฎาคมออกมาสร้างความผิดหวังให้กับตลาด และนักลงทุนยังกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะลดอัตราดอกเบี้ยช้าเกินไปและทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง รวมถึงการปรับตัวลดลงของรายได้ของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Amazon และ Intel ที่รายงานผลประกอบการต่ำกว่าคาดการณ์

DJIA ปิดที่ระดับ 38,703.27 ปรับตัวลดลง 1,033.99 จุด หรือ 2.6% 

NASDAQ ปิดที่ระดับ 11,368.01 จุด ลดลง 372.57 จุด หรือ 3.1%

S&P500 ปิดที่ระดับ 4,051.53 จุด ปรับตัวลดลง 132.10 จุด หรือ 3.0%

ทั้งนี้ การเทขายสินทรัพย์เสี่ยงเกิดขึ้นไล่มาตั้งแต่ตลาดหุ้นเอเชีย นำโดย ตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ร่วงลงแรงกว่า 12% จากแรงขายหุ้นขนาดใหญ่หลังจากเงินเยนปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ โดยตลาดหุ้นของญี่ปุ่นร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่ Black Monday ในปี 1987 นอกจากนี้ตลาดหุ้นเกาหลีใต้และไต้หวันก็เป็นตลาดหุ้นในเอเชียที่ปรับตัวลดลงแรงเช่นเดียวกันจากแรงเทขายหุ้นเทคโนโลยี

นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ปรับตัวลดลงเนื่องจากนักลงทุนหลีกหนีความเสี่ยงเข้าไปหลบอยู่ในตลาดพันธบัตร ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวลดลงเหลือ 3.78% เป็นระดับที่ต่ำที่สุด นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2000