28 พฤศจิกายน 2564
3,381

“PTT จับมือ ฟ็อกซ์คอนน์” เตรียมผลิตรถ EV 5 หมื่นคัน ออกสู่ตลาดครั้งแรกปี 2566

“PTT จับมือ ฟ็อกซ์คอนน์” เตรียมผลิตรถ EV  5 หมื่นคัน ออกสู่ตลาดครั้งแรกปี 2566
Highlight

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT จับมือ “ฟ็อกซ์คอนน์” เดินหน้าธุรกิจผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เตรียมตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) กลางปี 2565 คาดผลิตได้ในปี 2566 จำนวน 5 หมื่นคัน และวางเป้าผลิต 1.5 แสนคัน ในปี 2567 ขณะที่ผลประกอบการปี 2565 แนวโน้มดีจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น ประเมินราคาน้ำมันดิบดูไบปีหน้าอยู่ที่ 71-76 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนราคาปิโตรเคมีอ่อนตัวตามอุปทานที่เพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์มองธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าจะสร้างการเติบโตระยะยาว พร้อมประเมินผลงานปี 2565 โต 10%


นายธนพล  ประภาพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายผู้ลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า บริษัท อรุณ พลัส จำกัดซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท. ได้ลงนามจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัท ลี่ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล อินเวสเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฟ็อกซ์คอนน์ หรือ Focconn จากจีน ที่จะร่วมกันพัฒนาธุรกิจผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

ซึ่งจะประกาศการตัดสินในลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) ได้กลางปีหน้า เป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม ซึ่งหากดำเนินการลงทุนคาดว่าจะสามารถจัดตั้งโรงงานได้เสร็จภายในปี 2566 โดยจะมีกำลังการผลิตเริ่มแรกจำนวน 50,000 คัน และวางเป้าหมายกำลังการผลิตจะขึ้นไปที่ระดับ 150,000 คันในปี 2573

ขณะเดียวกันในปีหน้า บริษัท อรุณ พลัส ก็มีแผนที่จะติดตั้งติดตั้งที่ EV Charger เพิ่มประมาณ 1,350 ยูนิต ขณะที่บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ก็มีแผนที่จะขยายสถานี EV Charger เพิ่มอีกประมาณ 200 สถานี ซึ่งจะทำให้มีสถานีเพิ่มเป็น 300 แห่งตามเป้าหมายที่กำหนดไว้

นายธนพล กล่าวว่า ผลดำเนินงานในปี 2565 คาดว่าผลดำเนินงานยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้ เนื่องจากธุรกิจหลักในทุกกลุ่มธุรกิจมีการเติบโต ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจที่ฟื้นตัว หลังมีการฉีดวัคซีนโควิด-19ทำให้มีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์จึงทำให้อุปสงค์เพิ่มขึ้น รวมถึงผู้ผลิตไฟฟ้ามีการใช้น้ำมันมากขึ้น ทั้งจากจีน อินเดีย และยุโรป

ดังนั้นจึงคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในปีหน้าจะอยู่ที่ 71-76 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากปีนี้อยู่ที่ 68-73 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาของปิโตรเคมีอาจจะอ่อนตัวลงเล็กน้อย ทั้งในด้านของโอเลฟินส์ และอะโรเมติกส์ ตามอุปทานที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้น

ส่วนโครงการในกลุ่ม PTT ที่จะดำเนินการในปีหน้า ประกอบด้วย งานท่อส่งก๊าซที่ 5 เฟสแรกคาดว่าจะดำเนินการเชิงพาณิชย์ หรือ COD ได้ในธันวาคม 2564 นี้ ส่วนเฟส 2 คาด COD ได้ในเดือนมกราคม 2565 และเฟส 3 จะ COD ได้ในธันวาคม 2565 ส่วนโครงการ LNG Terminal 2 ที่มีกำลังการผลิต 7.5 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะ COD ในธันวาคม 2565

และยังมีโครงการของ PTTGC ในโครงการพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง กำลังการผลิต 4.5 หมื่นตันต่อปี จะ COD ในไตรมาส 1/2565 และ GPSC ที่ได้เข้าลงทุนใน Avaada Energy Private Limited หรือ Avaadqa ที่ทำโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในอินเดีย ขนาด 4,560 เมกะวัตต์ โดยได้ดำเนินการแล้ว 1,500 เมกะวัตต์ และอีก 3,060 เมกะวัตต์ เตรียมจะ COD โดย GPSC เข้าถือหุ้น 41.6% คาดว่าจะ COD ตั้งแต่ไตรมาส 4/2564-2565

EV เป็นกระแสการลงทุนเมกะเทรนด์ นักวิเคราะห์มอง  PTT เติบโตต่อเนื่อง

บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง PTT ว่า บริษัทตั้งเป้าผลตอบแทน IRR จากการลงทุนธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ประมาณ 9-10% และระยะเวลาคืนทุน 8 ปี จากนั้นจะ Scale-Up กำลังการผลิตเป็น 1.5 แสนคันในปี 2573 จากช่วงแรกที่จะเริ่มต้นที่ 5 หมื่นคัน และขณะนี้ PTT อยู่ระหว่างเจรจากับแบรนด์ EV ในจีนหลายแห่ง ล่าสุดต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาได้ MOU กับแบรนด์ Hozon ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพอันดับต้นๆ ของจีน

ฝ่ายวิจัยมองผลตอบแทนที่ PTT ตั้งไว้เป็นกลาง ถือว่าไม่สูงนัก ประกอบกับสัดส่วนการลงทุนยังไม่มากเทียบกับธุรกิจในปัจจุบัน ทำให้ระยะสั้นยังไม่ส่งผลต่อผลประกอบการของ PTT อย่างมีนัยสำคัญ แต่ในระยะยาวหากการลงทุนใน EV Value Chain อื่นๆ ประสบความสำเร็จจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้เครือ PTT จากการแตกไลน์เข้าสู่ธุรกิจ EV ซึ่งเป็น Trend ความต้องการในอนาคต

นอกจากนี้ได้คาดการณ์ผลดำเนินงานหลักของ PTT ในปี 2565 จะโต 10% จากปีนี้ตามทิศทางราคาพลังงาน แต่การเติบโตไม่เด่นเพราะต้นทุนก๊าซธรรมชาติสูงขึ้น ยังคงคำแนะนำเก็งกำไร ให้ราคาเป้าหมายที่ 42 บาทต่อหุ้น

ติดต่อโฆษณา!