เลือกหุ้นโรงแรมอย่างไรหากเปิดเมืองอีกครั้ง

Highlight
วันพรุ่งนี้ประเทศไทยจะเริ่มคลายล็อกดาวน์บางส่วน ซึ่งก็หวังว่าจะเป็นการผ่อนคลายอย่างต่อเนื่องและไม่ต้องกลับมาล็อกเพิ่มอีก ซึ่งหากสถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลายได้ ในอนาคตเราน่าจะได้เห็นการท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะคนไทยที่น่าจะต้องการท่องเที่ยวกันมากพอสมควร
การวิเคราะห์หุ้นกลุ่มโรงแรมมี 5 ปัจจัยสำคัญ ดังนี้
1. อัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate)
เป็นอัตราส่วนที่บ่งบอกว่าห้องที่โรงแรมมีอยู่ มีคนเข้าพักมากน้อยแค่ไหนในแต่ละวัน เช่น ถ้ามีห้องพักทั้งหมด 100 ห้อง มีคนเข้าพัก 70 ห้อง ถือว่าโรงแรมมีอัตราการเข้าพักที่ 70% โดยยิ่งมีอัตราการเข้าพักมากเท่าไหร่ยิ่งดี นั่นแปลว่า ห้องแต่ละห้องที่สร้างขึ้นมานั้นมีการใช้งานและกำลังทำเงินให้บริษัทอยู่ แต่ถ้ามีอัตราการเข้าพักน้อย แปลว่า อาจจะมีการบริหารจัดการไม่ดีหรืออยู่ในทำเลที่ไม่ดี ทำให้ไม่มีคนเข้าพัก
ดังนั้น อัตราการเข้าพักถือเป็นปัจจัยสำคัญในการชี้วัดธุรกิจโรงแรม แต่คำถามคือ ถ้าโรงแรมลดราคาเยอะ ๆ ก็จะทำให้อัตราการเข้าพักเต็มได้ง่าย แต่ในความเป็นจริงโรงแรมอาจจะขาดทุนก็ได้ เพราะคิดราคาห้องที่ถูกเกินไปและไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายและเงินที่ลงทุนไป ดังนั้น จะดูอัตราการเข้าพักเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องดูปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย
2. ราคาขายเฉลี่ยต่อห้องพัก (Average Daily Rate : ADR)
เป็นอัตราส่วนที่นำราคาขายเฉลี่ยของห้องพักแต่ละห้องมาเฉลี่ยกัน เพื่อที่จะรู้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วห้องที่ขายไปนั้น ได้เงินต่อคืนอยู่ที่เท่าใด โดยราคาขายเฉลี่ยต่อห้องพักจะเป็นปัจจัยที่ใช้ดูควบคู่ไปกับอัตราการเข้าพัก เพื่อดูว่าโรงแรมไม่ได้ลดราคามากเกินไปจนทำให้กำไรลดลง หรือลดราคาเพื่อต้องการเพิ่มอัตราการเข้าพัก เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าห้องพักจะเต็มมากเพียงใด แต่ถ้ากำไรน้อยหรือขาดทุนก็คงไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจ
3. รายได้ต่อห้องที่ให้บริการ (Revenue Per Available Room)
เป็นการนำราคาขายเฉลี่ยต่อห้องพักมาคูณกับอัตราการเข้าพัก จะได้รายได้ที่ทำได้ต่อจำนวนห้องที่ให้บริการ ซึ่งเป็นตัวบอกภาพรวมของทั้งอัตราการเข้าพักและราคาขายเฉลี่ย โดยรายได้ต่อห้องที่ให้บริการจะพอบอกได้แล้วว่าโรงแรมนั้น ดำเนินงานได้ดีมากน้อยแค่ไหน
4. อัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (Selling, General and Administrative Expense)
ช่วงที่เกิดวิกฤติ เช่น การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้ธุรกิจโรงแรมต้องดูแลค่าใช้จ่าย ลดต้นทุน ประหยัดงบประมาณ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงแรมว่ามีวิธีการบริหารจัดการเรื่องนี้อย่างไร เช่น ลดค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่ไม่จำเป็น ลดค่าใช้จ่ายคงที่ เป็นต้น เมื่อค่าใช้จ่ายลดลงจะเป็นผลดีต่อการฟื้นตัวหรือถึงจุดคุ้มทุนเร็วขึ้น ทำให้กำไรกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง
5. กำไรก่อนหักค่าใช้จ่าย, ดอกเบี้ย, ภาษี, ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (Earning Before Interest and Tax, Depreciation and Amortization : EBITDA)
หุ้นกลุ่มโรงแรมเป็นหุ้นที่ไม่สามารถดูกำไรสุทธิเพียงอย่างเดียวได้ เพราะอาจจะเข้าใจผิด เนื่องจากธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่ต้องลงทุนสูง ดังนั้น จะมีค่าเสื่อมราคาที่สูงมาก ซึ่งค่าเสื่อมราคาที่สูงนี้จะทำให้กำไรดูต่ำลง
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงค่าเสื่อมราคาเป็นเพียงรายการทางบัญชีและไม่กระทบกับกระแสเงินสด ค่าเสื่อมราคาเกิดจากการลงทุนสร้างโรงแรมใหม่เพื่อทำให้ธุรกิจเติบโต ดังนั้น ถ้าโรงแรมมีค่าเสื่อมราคาไม่เพิ่มขึ้น อาจหมายถึงธุรกิจไม่เติบโต ดังนั้น การวิเคราะห์หุ้นกลุ่มโรงแรมจึงใช้ EBITDA จะเหมาะกว่าการดูกำไรสุทธิ
ที่มา : SETInvestNow
ข่าวยอดนิยม

6 แอปฯ "ออมทอง" ไม่ต้องมีเงินก้อน ก็เริ่มลงทุนได้ !

7 แอป สร้างรายได้เสริม ไม่ต้องออกจากบ้าน ก็หาเงินได้!

ส่องรายได้คนขับส่งอาหาร ทางเลือกอาชีพยุคโควิด

6 บัญชี “ออมทรัพย์ดิจิทัล” ดอกเบี้ยดีต่อใจ สมัครง่ายผ่านออนไลน์ !
