11 สิงหาคม 2564
2,175

พรินซิเพิล แนะสะสมหุ้นเวียดนาม ทำกำไรเกือบ 100%ในช่วง 1 ปีย้อนหลัง

พรินซิเพิล แนะสะสมหุ้นเวียดนาม ทำกำไรเกือบ 100%ในช่วง 1 ปีย้อนหลัง
HighLight

บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุนพรินซิเพิล แนะสะสมหุ้นเวียดนามเนื่องจากแนวโน้มดี จากอัตราการเติบโตที่สูงในปีนี้ แม้ระยะสั้นได้รับผลแระทบจากโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยเงินลงทุนต่างชาติไหลยังคงไหลเข้าจากศักยภาพสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการผลิตของภูมิภาคและของโลก  ส่งผลให้ตลาดหุ้นเติบโตสูงในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ในขณะที่กองทุนรวมหุ้นต่างประเทศของบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุนพรินซิเพิลเวียดนาม มีกำไรแล้วในปีนี้ 42.95% และ 96.84% ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา


นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า กองทุน PRINCIPAL VNEQ ซึ่งเป็นกองทุนของพรินซิเพิลที่มีนโยบายลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม ให้ผลตอบแทนสูงสุดในปี 2564 หรือในช่วง 7 เดือนของปีนี้ ที่ 42.95% และ 1 ปีย้อนหลังที่ 96.84% สูงสุดเมื่อเทียบกับกองทุนหุ้นเวียดนามทั้งหมดที่มีในประเทศไทย (Benchmark : 51.18% และ 110.26% (Source Bloomberg ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564)

บลจ. พรินซิเพิล ประเมินเศรษฐกิจเวียดนามแข็งแกร่ง รับเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ ยกระดับประเทศสู่ ‘ฮับด้านการผลิตของโลก’ และก้าวสู่สังคมเมือง หนุนการเติบโตในระยะยาว แม้ว่าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 รอบใหม่ก็ตามล่าสุดมีการปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังเติบโตสูงสุดในภูมิภาคเอเชีย ชี้เป็นโอกาสทยอยสะสมหุ้น หลังตลาดปรับฐานแล้วในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา

นายจุมพลกล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนามยังเติบโตสูง เป็นประเทศที่มีศักยภาพและน่าสนใจต่อการเข้าลงทุนในตลาดหุ้น เนื่องจากภายหลังเกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา – จีน ส่งผลให้มีเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (Foreign Direct Investment หรือ FDI) จำนวนมากจากการเคลื่อนย้ายฐานการผลิต

เนื่องจากค่าแรงที่ถูกกว่าประเทศไทยและจีน 2 – 2.5 เท่า และมีการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีเพื่อสิทธิประโยชน์จากภาษีมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงเสถียรภาพทางการเมืองและนโยบายการบริหารประเทศที่ค่อนข้างนิ่ง มีประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงานและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์

ส่งผลให้เวียดนามกำลังยกระดับจากประเทศ ‘เกษตรกรรม’ ไปสู่ ‘ฮับด้านการผลิตของโลก’ และการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมเมืองหรือ Urbanization จากรายได้ประชากรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวและกลายเป็นประเทศที่น่าจับตามองที่สุดในภูมิภาคนี้ 
 
สำหรับเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติหรือ FDI ในเวียดนามในปี 2564 คาดว่าจะมีสัดส่วนประมาณ 6% ของ GDP และเคยพุ่งขึ้นสูงสุดคิดเป็นสัดส่วน 10% ของ GDP ซึ่งสูงกว่าประเทศไทย จีนและค่าเฉลี่ยทั่วโลก

โดยในปีที่ผ่านมาเม็ดเงินลงทุน FDI 3 อันดับแรกอยู่ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต สาธารณูปโภคและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงมีการลงทุนในเซ็กเตอร์อื่นๆ เช่น ค้าปลีก-ส่ง, เทคโนโลยีและยานพาหนะ, โลจิสติกส์และการขนส่ง เป็นต้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เวียดนามกำลังก้าวสู่ประเทศอุตสาหกรรมการผลิตและสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดส่งออกจากจีนได้มากพอสมควร

ทั้งนี้บริษัทต่างชาติชั้นนำที่ลงทุนในเวียดนาม อาทิ Nidec ผู้ผลิตมอเตอร์จากญี่ปุ่น, LG และ SAMSUNG บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์จากเกาหลีใต้, Goertek ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ในจีน ฯ
สำหรับอุตสาหกรรมที่น่าลงทุนในเวียดนาม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรม โลจิสติกส์และที่อยู่อาศัย โดยที่นิคมอุตสาหกรรม มีการขยายตัวจากพื้นที่ตอนใต้สู่ตอนกลางและตอนเหนือของเวียดนามมากขึ้น

เนื่องจากความต้องการจากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เพิ่มขึ้อย่างแข็งแกร่ง เช่น อุตสาหกรรมไฮเทคโนโลยี, อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์, Vinfast แบรนด์รถยนต์ของเวียดนาม เป็นต้น ส่งผลให้ราคาที่ดินในเวียดนามภายหลังเกิดเทรดวอร์ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จึงทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้รุกขยายธุรกิจจากการพัฒนาที่อยู่อาศัย สู่นิคมอุตสาหกรรมเพื่อตอบสนองดีมานด์ รวมถึงเกิดความต้องการด้านโลจิสติกส์และที่อยู่อาศัยโดยรอบนิคมฯ เพื่อรองรับการลงทุน จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ภาคการนำเข้า-ส่งออกของเวียดนามในช่วง 1 ปีที่ผ่านมามีอัตราเติบโตสูงมาก โดยไตรมาส 2 ของปีนี้เติบโตถึง 40%

หากพิจารณาสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ของเวียดนามในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดทุนในระยะสั้น โดย ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 ตัวเลขผู้ติดเชื้อเฉลี่ย 7 วันย้อนหลังเพิ่มขึ้นเป็น 7,878 คนต่อวัน และมีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 150,000 คน
 
ล่าสุดรัฐบาลเวียดนามจึงขยายระยะเวลาล็อกดาวน์นครโฮจิมินห์และอีก 18 พื้นที่ต่อไปถึงกลางเดือนสิงหาคม 2564 ส่วนเมืองดานังและฮานอยอาจถูกขยายระยะเวลาล็อกดาวน์เช่นกัน ขณะที่ผู้ได้รับวัคซีนเข็มแรกและเข็มที่ 2 แล้วมีสัดส่วน 5.49% และ 0.6% ของประชากรทั้งประเทศ (กว่า 90 ล้านคน) การฉีดวัคซีนจึงเป็นประเด็นเร่งด่วนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสสุดท้าย โดยมีเป้าหมายฉีดวัคซีนแก่ประชาชนถึง 50% ภายในสิ้นปีนี้ และ 70% ภายในไตรมาสแรกของปีหน้า พร้อมทั้งได้จัดหาวัคซีนรองรับจำนวน 100 ล้านโดส

ทั้งนี้นักวิเคราะห์ทั่วโลกได้ปรับลดประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามในปีนี้เหลือ 6.55% (ข้อมูล ณ 30 กรกฎาคม 2564) จากเดิม 6.7% (ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564) และ 7.3% (ณ สิ้นเดือนเมษายน 2564) อย่างไรก็ตาม บลจ. พรินซิเพิล มีมุมมองต่อการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามยังมีความน่าสนใจอย่างมาก โดย IMF คาดการณ์อัตราเติบโตเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2022 – 2026 (ณ 6 เมษายน 2564) ที่อัตราเฉลี่ย 6.84% ต่อปีซึ่งจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในภูมิภาคเอเซีย

ดังนั้นในช่วงไตรมาส 3 นี้ เป็นจังหวะดีในการ ‘ทยอยสะสม’ หุ้นเวียดนามโดยการซื้อเฉลี่ยแบบ DCA (Dollar Cost Average) หลังจากในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นเวียดนามได้ปรับฐานไปแล้ว

โดยดัชนี VNINDEX ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดของเดือนที่ 1,243 จุด ณ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา จากจุดสูงสุดที่ 1,420 จุด ณ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา และเชื่อว่าหากสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดรอบนี้ได้ ตลาดหุ้นเวียดนามพร้อมปรับตัวขึ้นตอบรับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง นายจุมพลกล่าว

ผลการดำเนินงานย้อนหลังกองทุนเปิด PRINCIPAL VNEQ

20210811-a-01.jpg

ที่มา : บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล

ติดต่อโฆษณา!