02 ตุลาคม 2566
485

ตลาดหุ้นไทยหลังจากรัฐบาลใหม่



ประเทศไทยได้รัฐบาลใหม่และจัดตั้งคณะรัฐมนตรีในการบริหารประเทศเรียบร้อยแล้ว รัฐบาลได้ประกาศนโยบาย รวมทั้งมาตรการแก้ไขปัญหาและกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่กำหนดทิศทางการลงทุนในโค้งสุดท้ายของปีนี้ 

ทิศทางตลาดหุ้นไทยในไตรมาสที่สี่จะเป็นอย่างไร หลังจากที่เรามีรัฐบาลใหม่ โดยในแง่มุมของการดำเนินนโยบาย จะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยอย่างไร  คุณสุวัฒน์ สินสาฎก รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจหลักทรัพย์ลูกค้าสถาบัน บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อภาพรวมและแนวโน้มการลงทุนไว้ดังนี้ 

คุณสุวัฒน์ กล่าวว่า การที่ประเทศไทยมีการจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จและประกาศนโยบายต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นั้นจะเป็นผลดีใน 2 เรื่องใหญ่ๆ  ดังนี้

1. ความชัดเจนทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่กลัวน้อยลง เพราะนับจากปีนักลงทุนมีความกลัวในความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก เพราะในเรื่องการลงทุนและตลาดทุนนั้น อะไรที่เป็นความไม่แน่นอนจะมีผลในเชิงลบ

2. ด้านปัจจัยด้านบวก รัฐบาลพยายามสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนต่างชาติมาลงทุนในประเทศไทย โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนต่างประเทศ โดยการพบปะและดึงนักลงทุนเข้ามา 

แม้ว่าในช่วงระยะสั้นจะยังมีการเทขายของนักลงทุนต่างชาติอยู่ เงินบาทอ่อนค่ากว่า 36 บาท/ดอลลาร์ แต่ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าเงินบาทไม่เคยอ่อนค่าเกินกว่า 38/ดอลลาร์ และคาดว่ารอบนี้ไม่น่าจะไปถึง 38 บาท/ดอลลาร์ 

เดือนตุลาคม น่าจะเป็นเดือนที่ดีต่อการลงทุน โดยเฉพาะตลาดหุ้น เพราะเดือนกันยายนที่ผ่านมาเป็นเดือนที่มีการปรับฐาน รอการฟื้นตัวในเดือนตุลาคมนี้ 
20231002-b-01.jpg

▪️ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุนนักลงทุนในไตรมาสสุดท้าย 2566 มี 3 ประเด็น ได้แก่

1. ราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้น  ซึ่งมาจากการที่ โอเปก พลัส ลดกำลังการผลิต และ
รัสเซียแบนการส่งออกน้ำมัน

2. ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา  ซึ่งต้องจับตาการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed โดยส่วนตัวคิดว่า Fed จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยแล้ว เนื่องจากเงินเฟ้อไม่สูงและเริ่มชะลอตัว 

3. ภาคการท่องเที่ยวดีขึ้น  เดือนต.ค.นักท่องเที่ยวชาวจีนจะเดินทางเข้าประเทศไทยมากขึ้นเกือบเท่าตัวจากเดือน ก.ย.

20231002-b-02.jpg

▪️ หุ้นที่น่าสนใจลงทุน ประกอบด้วยหุ้นใน 3 กลุ่ม ได้แก่ 

1. กลุ่มโรงกลั่น เนื่องจาก คาดว่าดีมานด์ใน 3-4 เดือนข้างหน้าจะสูงขึ้น   Supply ตึงตัวมากขึ้น จากการที่รัสเซียถูกแบนจากส่งออกไปยุโรป และ Inventory หรือ สต็อกสินค้าของโลกเหลือลดลง 

ดังนั้น ปัจจัยเหล่านี้ จะทำให้ 3-4 เดือนข้างหน้าตลาดดีเซลตึงมาก และดีเซลเป็นสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของโรงกลั่น ธุรกิจโรงกลั่นก็จะได้ประโยชน์สูง โรงกลั่นขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว และก็พักตัว และคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นได้อีกครั้ง

2. กลุ่มท่องเที่ยว ในกลุ่มนี้จะเน้นกลุ่มสายการบินสนามบิน รองลงมาคือกลุ่มโรงแรม

เนื่องจากคาดว่า เดือนตุลาคมนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนจะเดินทางเข้ามาประเทศไทยค่อนข้างมาก กลุ่มสายการบินจะได้ประโยชน์ 

หุ้นแนะนำคือ AAV ได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนมากที่สุด รวมทั้งหุ้นสนามบินอย่าง  AOT ซึ่งขยายพื้นที่รองรับนักท่องเที่ยว คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น 

3. กลุ่ม Commerce หรือกลุ่มอุปโภคบริโภค ซึ่งแนะนำ CRC และ CPN 

▪️ เทคนิคการเลือกลงทุนในหุ้นรายตัว 

ประการแรก ควรดู Downside น้อยหรือไม่ เพราะหุ้นหลายตัว ราคาปรับลงมาเยอะแล้ว ไม่น่าจะปรับลดลงมากๆได้อีก และกำไรไม่แย่เกินไป เช่น AAV AOT ซึ่งในอนาคตมีปัจจัยบวกเพิ่มเข้ามาอย่างมีนัยยะสำคัญ จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศ

ประการที่สอง ดูข้อมูลที่เชื่อมโยงกันกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ กับการท่องเที่ยว เงินที่ไหลเข้ามา กำไรจะเพิ่มขึ้น หรือเงินที่รัฐจะลงเพิ่มเข้าไป เช่น กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งคาดว่ากลุ่มนี้น่าจะมีเงินไหลเข้ามาเยอะ 

▪️ มาตรการที่สรรพากรจะเก็บภาษีการนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ

ในส่วนนี้จะได้รับผลกระทบแน่นอน และคนไทยจำนวนมากได้โอนเงินไปลงทุนต่างประเทศ ส่วนใหญ่ลงทุนไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยได้โอนเงินกลับมา สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ คนก็อาจจะนำเงินออกไปลงทุนนอกประเทศ เพราะต้องการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน และยังคงลงทุนต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่โอนกลับมา ซึ่งอาจส่งผลให้เงินลงทุนในตลาดทุนไทยน้อยอีกด้วย

 “ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับมาตรการนี้เท่าไหร่ เพราะเป็นการลดเม็ดเงินที่จะเข้ามา บทสรุปก็เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังมีความหวัง” คุณสุวัฒน์ ระบุ
ติดต่อโฆษณา!