09 กุมภาพันธ์ 2566
1,061

กองทุนหุ้นจีนเจ๋ง! เดือนม.ค. ทำได้มากกว่า 10% ต้อนรับการเปิดประเทศอย่างสวยงาม

กองทุนหุ้นจีนเจ๋ง! เดือนม.ค. ทำได้มากกว่า 10% ต้อนรับการเปิดประเทศอย่างสวยงาม
Highlight

การประกาศเปิดประเทศของจีนตั้งแต่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมาเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ที่ทำให้ โอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนและเอเชียในปีนี้เพิ่มสูงขึ้น จีนและอาเซียนกลายเป็นจุดนัดพบของกองทุนต่างๆ จากทั่วโลก เพราะการเปิดประเทศของจีน ช่วยหนุนห่วงโซ่อุปทาน การท่องเที่ยวและเดินทางในภูมิภาคนี้ให้กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เพียงเดือน ม.ค.เดือนเดียว อย่างน้อย 3 กองทุนรวมจากไทย ที่สร้างผลตอบแทนได้เกิน 10%


20230209-b-01.jpg
ข้อมูลจาก Moroningstar Research (Thailand) ระบุว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2022 ตลาดหุ้นจีนเริ่มมีการฟื้นตัวขึ้นมา โดยดัชนี Morningstar China เป็นบวกที่ 8.4%  (ข้อมูล ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2022)

  • กองทุนหุ้นจีนเริ่มมีเงินไหลเข้าสะสมในช่วงดังกล่าว แม้ว่าจะมีเงินไหลเข้าน้อยลงจากปี 2020-2021 อย่างมาก แต่ยังถือว่าเป็นกลุ่มกองทุนที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนไทย เห็นได้จากเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิสะสม 11 เดือนที่ผ่านมาราว 1.6 หมื่นล้านบาท หรือเป็นกลุ่มที่มีเงินไหลเข้าสุทธิมากเป็นอันดับที่ 4 ของอุตสาหกรรม คิดเป็น organic growth 9.4% มูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมอยู่ที่ 1.3 แสนล้านบาท
  • โดยในช่วงต้นปี 2023 นับตั้งแต่จีนประกาศเปิดประเทศในวันที่ 8 มกราคม กองทุนรวมจากทั่วโลก รวมทั้งไทยต่างมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในจีน และแนะนำการลงทุนในจังหวะที่เหมาะสม เพราะคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตแบบก้าวกระโดดหลังจีนปิดเมืองมานานถึง 3 ปี

  • Morningstar ได้เปิดเผยผลตอบแทนกองทุนรวมของไทย ที่ลงทุนในหุ้นจีนในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา พบว่ามีถึง 3 กองทุน ที่สร้างผลตอบได้ได้มากกว่า 10% นับว่าเป็นผลตอบแทนที่สูงมากภายในเดือนเดียว ได้แก่
    1. KF-CHINARMF ผลตอบแทน +11.03%
    2. KF-HCHINAD +10.82%
    3. TISCOCHA-A 10.01
  • นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุน ยังคงให้คำแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นจีนและเอเชียสำหรับปี 2023 โดยแนะนำเข้าลงทุนในจังหวะที่เหมาะสม หรือในช่วงที่ตลาดย่อตัวหรือพักฐาน เพื่อสะสมหุ้นในมูลค่าที่ต่ำ และสามารถสร้างผลตอบแทนระยะยาวได้

  • ดร.มิ่งขวัญ ทองพฤกษา Chief Economist บลจ. บัวหลวง กล่าวว่าประเทศจีนสร้างโอกาสในการลงทุนเป็นอย่างมากนับจากการเปิดประเทศ (Reopening) เมื่อ 8 มกราคม และทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียขับเคลื่อนและเติบโตไปพร้อมกันโดยเฉพาะอาเซียน

  • กลุ่มประเทศอาเซียนหลายประเทศได้ประโยชน์จากห่วงโซ่ธุรกิจ หรือ Supply Chain จากการเปิดประเทศของจีน รวมทั้งการท่องเที่ยวที่เติบโตเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากปีก่อน

  • “เรามีมุมมองว่าภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะจีน และอาเซียนมีความน่าสนใจมากที่สุดในการลงทุนปีนี้ แต่การลงทุนที่ดีนั้นต้องรู้จักเข้าซื้อในช่วงจังหวะที่เหมาะสม หรือรอจนกว่าราคาหุ้นจะปรับลงมา เพื่อสามารถถือหุ้นสะสมในต้นทุนที่ต่ำได้” ดร.มิ่งขวัญ กล่าว

  • อย่างไรก็ตามสภาพตลาดหุ้นในปีนี้ยังมีความผันผวนเป็นระยะจากหลายปัจจัย ทั้งด้านเศรษฐกิจโลกถดถอย การควบคุมเงินเฟ้อของสหรัฐผ่านนโยบายดอกเบี้ย สงครามและความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งจะมีหลายโอกาสที่ตลาดจะปรับลดลงมา และเป็นจังหวะเข้าลงทุนได้ ดร.มิ่งขวัญกล่าว

  • ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า SCB CIO ได้ปรับมุมมองการลงทุนที่มีต่อตลาดหุ้นจีนใหม่โดยมีมุมมองเป็นบวก (Positive) กับตลาดหุ้นจีน A-Shares และมีมุมมองค่อนข้างบวก (Slightly Positive) กับตลาดหุ้นจีน H-Shares

  • ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรามีการปรับมุมมองการลงทุนต่อหุ้นจีน คือ การเปิดเมืองและเปิดประเทศที่เร็วกว่าคาด โดยมีลดระดับการจัดการโรคโควิด-19 ให้เป็นโรคติดเชื้อระดับ B ซึ่งเป็นระดับเดียวกับโรคไข้เลือดออก และอนุญาตให้ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศจีนไม่ต้องกักตัว มีผลตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 2566 เป็นต้นไป

  • “เรามองว่า การเปิดประเทศครั้งนี้ มาจากแรงกดดันทั้งในประเด็นตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอลงอย่างมากและการชุมนุมประท้วงบนท้องถนนในช่วงเดือน พ.ย. 2565 โดยในช่วงแรกของการเปิดเมืองและเปิดประเทศ เราคาดว่า จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นจนอาจทำให้ตลาดกังวลกับประเด็นนี้ แต่เรามองว่า เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนในระยะข้างหน้า” ดร.กำพล กล่าว

ปัจจัยบวกที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนมีความน่าสนใจลงทุนมากขึ้น ได้แก่

  • ทางการจีนผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลัง ซึ่งจะยังมีต่อเนื่องสำหรับระยะต่อไป คาดว่า ธนาคารกลางจีน (PBoC) จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมอีก ด้วยการปรับลดอัตราการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ลงเพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีแรก และมีแนวโน้มออกมาตรการสนับสนุนธุรกิจที่เป็นกลุ่มเปราะบาง

  • กลุ่มเป้าหมายการออกนโยบายการคลังที่เน้นกระตุ้นการบริโภคมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การปรับปรุงบ้าน สนับสนุนรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า การบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการดูแลผู้สูงอายุ

  • นโยบายภาคอสังหาริมทรัพย์ คาดว่า ทางการจีนจะออกมาตรการเยียวยาภาคอสังหาฯ เพิ่มเติม และการเปิดเมืองจะช่วยหนุนการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปให้ภาคอสังหาฯ ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้ค่อนข้างชัด

สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง  มีดังนี้

  • กลุ่มที่ได้ประโยชน์โดยตรง ได้แก่ กลุ่มอินเทอร์เน็ต มีทั้งผู้ให้บริการส่งอาหารในท้องถิ่น กลุ่มอี-คอมเมิร์ซ และกลุ่มที่พึ่งพารายได้โฆษณาออนไลน์ กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและสายการบิน ที่เตรียมรับอานิสงส์ยอดการท่องเที่ยวในประเทศปรับตัวดีขึ้นค่อนข้างเร็วในช่วงไตรมาสที่ 2 และอาจฟื้นตัวไปสู่ระดับก่อนเกิดการระบาดได้ภายในสิ้นปี 2566 ส่วนการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ คาดว่าจะฟื้นตัวชัดเจนช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และฟื้นตัวไปถึงระดับก่อนการระบาดได้ภายในปี 2567

  • ส่วนกลุ่มธุรกิจที่ได้อานิสงส์ทางอ้อมจากการเปิดเมือง ประกอบด้วย กลุ่มอุปกรณ์เกี่ยวกับทางรถไฟ เพราะทางการจีนมีแนวโน้มลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวเนื่องกับรถไฟมากขึ้น รองรับการจราจรของรถไฟโดยสารที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังเปิดเมือง กลุ่มระบบอัตโนมัติในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากเมื่อระบบโลจิสติกส์กลับมาเป็นปกติ ปัญหาห่วงโซ่อุปทานเบาบางลง ความต้องการระบบอัตโนมัติไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมก็จะกลับมาเพิ่มขึ้น และสุดท้ายคือ

  • กลุ่มสถาบันการเงิน เนื่องจากการเปิดเมืองจะช่วยหนุนสินเชื่อขยายตัว รายได้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย รายได้ค่าธรรมเนียม ทรงตัวหรือปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ก็มีแนวโน้มดีขึ้น จากความเสี่ยงภาคอสังหาฯ ที่ลดลง และงบดุลภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ฟื้นตัว

  • เหตุผลที่ SCB CIO มีมุมมองบวกกับตลาดหุ้นจีน A-Shares มากกว่า H-Shares เพราะว่า เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าหุ้นของทั้ง 2 ตลาดนี้กับมูลค่าย้อนหลัง 5 ปี แล้วพบว่า มูลค่าตลาดหุ้น A-Shares ยังถูกกว่า H-Shares ขณะเดียวกันถึงแม้ว่าความเสี่ยงเรื่องการเพิกถอนบริษัทจีนออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ (ADRs Delisting) จะลดลง และความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบบนกลุ่มแพลตฟอร์มลดลงแล้ว ทำให้ตลาด H-Shares มีความน่าสนใจลงทุนมากขึ้น แต่ตลาดฯ ก็ยังเผชิญปัจจัยกดดันจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนโดยเฉพาะจากประเด็นการกีดกันด้านเทคโนโลยี (Tech war)


ติดตาม ทันข่าวToday ช่องทางอื่น ๆ

🔺 Website : https://www.thunkhaotoday.com/
🔺 Facebook : https://www.facebook.com/thunkhaotoday
🔺 Line Today : https://bit.ly/3ifSuDr
🔺 ติดต่อโฆษณา : https://line.me/ti/p/9mjGVL4nhC

 

ติดต่อโฆษณา!