16 พฤศจิกายน 2565
1,240

โบรกเกอร์กว่า 10 รายยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษต่อตำรวจ ปอศ. ตามเงินคืน กรณีนักลงทุนสั่งซื้อหุ้น MORE แล้วไม่ชำระเงิน

โบรกเกอร์กว่า 10 รายยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษต่อตำรวจ ปอศ. ตามเงินคืน กรณีนักลงทุนสั่งซื้อหุ้น MORE แล้วไม่ชำระเงิน
Highlight

ตลาดหลักทรัพย์ฯแถลงข่าวร่วมกับสมาคมบริษัทหลักทรัพย์อีกครั้งในวันนี้ (16 พ.ย) เกี่ยวกับความคืบหน้า กรณีนักลงทุนรายหนึ่งซื้อหุ้น MORE มูลค่ากว่า 4 พันล้านบาท แต่ไม่จ่ายเงินเพื่อครบกำหนด สร้างความเสียให้โบรกเกอร์กว่า 10 ราย โดยล่าสุดโบรกเกอร์รวบรวมหลักฐานยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษต่อตำรวจ ปอศ. ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯขอให้ ปปง.ใช้อำนาจระงับบัญชีผู้ขายหุ้น MORE กว่า 10 บัญชี เพื่อตรวจสอบความเกี่ยวพันทั้งหมด และจะกันบุคคลที่ให้ข้อมูลเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีเป็นพยาน คาดสัปดาห์หน้ามีความคืบหน้ามากขึ้น พร้อมปรับใหญ่กระบวนการดูแลลูกค้าของโบรกเกอร์ปิดช่องโหว่ ป้องกันเกิดปัญหาซ้ำซ้อน



หลังเกิดกรณี  โบรกเกอร์ไทยมูลค่าเสียหายกว่า 4 พันล้านบาท เตรียมปรับใหญ่กระบวนการทำงานทั้งระบบเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ปิดช่องโหว่มิจฉาชีพเข้ามาทำความเสียหาย

บริษัทสมาชิกหลายแห่งก็ได้ไปดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) แล้ว จากกรณีที่นักลงทุนรายหนึ่งทำรายการซื้อหุ้น MORE หรือ มอร์ รีเทริ์น จากหลายโบรกเกอร์ในเวลาเดียวกัน แต่ผิดนัดจ่ายเงินค่าซื้อหุ้น มูลค่าความเสียหายกว่า 4 พันล้านบาท

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แถลงข่าวพร้อมด้วยนายพิเชษฐ์ สิทธิอำนวย นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ฯ เมื่อเที่ยง วันนี้ (16 พ.ย.) ว่า  หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการประสานกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้เข้ามาทำการสอบสวน ก็ได้มีความคืบหน้าเป็นอย่างดี

บริษัทสมาชิกหลายแห่งก็ได้ไปดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนที่ปอศ.แล้ว  อยากขอให้ใครก็ตามที่มีข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ที่ผิดปกติ สามารถมาติดต่อให้ข้อมูลได้ผ่านทาง SET Contact Center ที่ 0 2009 9999 เพื่อที่จะทำการรวบรวม และประสานนำส่งให้แก่พนักงานสอบสวนต่อไป

“ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯประสานความร่วมมือกับ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แช่แข็งบัญชีที่สั่งขายหุ้นกว่า 10 ราย ที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายเกี่ยวข้องกับความผิดปกติในการซื้อขาย แต่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ขอยังไม่เปิดเผยวงเงินทั้งหมด และรายชื่อ” นายภากร กล่าว

นอกจากนี้ ตลท.ยังไม่พิจารณาปลดเครื่องหมายห้ามซื้อขายหรือ  “SP” ที่เดิมจะถึงกำหนดปลดเครื่องหมายในวันที่ 18 พ.ย. โดยจะพิจารณาความเหมาะสมอีกครั้ง

บางคนระบุว่า นี้คือการปล้นเงินจากโบรกเกอร์ ที่อาศัยช่องโหว่จากการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่เปิดไว้โบรกเกอร์หลายที่ ในประเภทบัญชีเครดิตบาลานซ์ หรือบัญชีที่สามารถสั่งซื้อหุ้นได้มากกว่ามูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันในบัญชี โดยอาศัยการเป็นประวัติลูกค้าดี ไม่เคยมีรายการผิดนัดนัดชำระมาก่อน โดยปกติบัญชีประเภทนี้ จะซื้อได้มากน้อย ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละโบรกเกอร์แต่ละรายจะไม่เท่ากัน บางรายให้เครดิตการซื้อได้มากถึง 80% ของมูลค่าหลักประกันในบัญชี

ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สรุปเหตุการณ์ไว้ดังนี้ จากความผิดปกติของการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ที่พบในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565

สภาพการซื้อขายผิดปกติ โดยมีราคาปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่เปิดตลาด +4.3% จากราคาปิดในวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งวันที่สูงมากถึง 7,143 ล้านบาท (เฉลี่ย 30 วันก่อนหน้าอยู่ที่เพียง 360 ล้านบาท) ทั้งนี้ ในช่วงที่เปิดตลาด มีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 1,500 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ เกือบ 4,300 ล้านบาท  

ลักษณะของการส่งคำสั่งซื้อขายที่ผิดปกติ คือฝั่งซื้อ พบว่า เป็นการส่งคำสั่งซื้อจากผู้ซื้อเพียง 1 รายผ่านบริษัทสมาชิกหลายแห่งที่ราคา 2.90 บาท ฝั่งขายพบว่า มีการส่งคำสั่งขายเป็นจำนวนมากจากผู้ขายหลายรายที่ระดับราคาใกล้เคียงกับราคาเสนอซื้อ โดยมีจำนวนที่สั่งขายตั้งแต่ประมาณ 70 ล้านหุ้น/ราย ไปจนถึงประมาณ 600 ล้านหุ้น/ราย

ทันทีเมื่อเปิดตลาด ได้เกิดการจับคู่ซื้อขายกับผู้ขายหลายรายผ่านบริษัทสมาชิกหลายแห่ง หลังจากนั้น ภายในไม่ถึง 20 นาทีหลังเปิดตลาด ราคาได้ทยอยปรับตัวลงจนไปต่ำสุดที่ Floor ที่ราคา 1.95 บาท และปิดตลาดที่ราคาดังกล่าว

ฝ่ายกำกับการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แจ้งเตือนบริษัทสมาชิกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น

  • ผลกระทบที่มีต่อเนื่องมาถึงการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565

หลังเปิดการซื้อขาย ราคาหลักทรัพย์ MORE เปิดตลาดที่ราคา Floor ในทันทีที่ราคา 1.37 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายเบาบาง โดยลดเหลือเพียง 134 ล้านบาท จากกว่า 7,000 ล้านบาทในวันก่อนหน้า

  • การดำเนินการร่วมกันของบริษัทสมาชิก สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) และตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 เป็นต้นมา

ได้มีการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทสมาชิกที่เกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการรวบรวมข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 ทั้งหมด เพื่อที่จะร่วมกันทำการตรวจสอบธุรกรรมที่ต้องสงสัย

จากการตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแล ได้พบธุรกรรมที่ต้องสงสัย

สำหรับธุรกรรมที่ได้ตรวจสอบแล้ว หากไม่พบความผิดปกติ บริษัทสมาชิกก็ได้ดำเนินการจ่ายเงินให้แก่ลูกค้าไปแล้ว ส่วนธุรกรรมที่พบความผิดปกติ บริษัทสมาชิกก็จำเป็นที่จะต้องทำการตรวจสอบลูกค้าอย่างเข้มข้น และได้มีการระงับการทำธุรกรรมในบัญชีดังกล่าวของลูกค้าระหว่างที่ทำการตรวจสอบ ซึ่งเป็นหน้าที่ของบริษัทสมาชิกตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ได้รวบรวมหลักฐานได้เกิน 50% แล้ว คาดว่าสัปดาห์หน้ามีความชัดเจนมากขึ้น จะชี้แจงข้อมูลให้นักลงทุนทราบเป็นระยะ เพื่อสร้างความความมั่นใจให้กับนักลงทุน นายภากรกล่าว

ติดต่อโฆษณา!