05 สิงหาคม 2565
1,029

ทิสโก้ชี้เป้า! ปักหมุดลงทุนตามแผนยุทธศาสตร์ "จีน" 4 ธุรกิจได้แรงหนุนจากรัฐบาล

ทิสโก้ชี้เป้า! ปักหมุดลงทุนตามแผนยุทธศาสตร์ "จีน" 4 ธุรกิจได้แรงหนุนจากรัฐบาล
Highlight

ทิสโก้วิเคราะห์ ยุทธศาสตร์สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของจีนฉบับที่ 14 ซึ่งครอบคลุมยุทธศาสตร์ระหว่างปี 2021-2025 เจาะกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เพื่อปักหมุดลงทุนอย่างตรงเป้าหมาย  เพราะจีนยังคงเป็นประเทศที่เติบโตสูง จากพลังการบริโภคภายในประเทศที่มีฐานจำนวนประชากรกว่า 1,400 ล้านคน ซึ่งพบว่าธุรกิจที่ได้รับแรงหนุนจากภาครัฐได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค, Biotechnology, Semiconductors และ Clean Energy ทั้งหมดนี้สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวม TISCO CHINA STRATEGY  (TCHSTRATEGY)


ทิสโก้เปิด “แผนยุทธศาสตร์ชาติประเทศจีน”  การวิเคราะห์เจาะลึกแผนที่รัฐบาลใช้สำหรับพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม จะช่วยให้คุณค้นหาธุรกิจที่ได้รับแรงสนับสนุนจากทางการได้ และพบว่ามี 4 กลุ่มธุรกิจโดดเด่น ที่ควรปักหมุดลงทุน

ประเทศจีนจะจัดทำแผน “พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม” หรือ “แผนยุทธศาสตร์ชาติจีน” ฉบับต่างๆที่จัดทำขึ้นทุก 5 ปี โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1953 และจัดทำมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เพื่อช่วยกำหนดยุทธศาสตร์สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม จนกลายเป็นคุณลักษณะหลักของระบบการปกครองของจีนที่ช่วยให้สามารถกำหนดยุทธศาสตร์สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ให้เป็นไปตามกรอบที่ตกลงกันไว้ได้

โดยล่าสุด แผนฉบับที่ 14 ซึ่งครอบคลุมยุทศาสตร์ระหว่างปี 2021-2025 ผ่านที่ประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (Communist Party of China : CPC)  มีจุดเด่นที่นักลงทุนต้องโฟกัสเป็นพิเศษคือ

1.เน้นขับเคลื่อนคุณภาพของการเติบโต “Quality development”  และ เป็นการเติบโตแบบยั่งยืน

2.เน้นไปวิจัยพื้นฐาน (Basic Research) เพื่อนำไปสู่การปฏิวัตินวัตกรรม (Breakthrough) เช่น AI, Quantum, Semiconductor

3.มีการกำหนดเป้าหมายเรื่องสิ่งแวดล้อม และ พลังงาน โดยต้องการ Carbon Neutral ให้ได้ในปี 2060 ดังนั้นคาดว่ากลุ่มได้ประโยชน์คือ อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด, การศึกษาวิจัยเศรษฐกิจไฮโดรเจน , การเปลี่ยนรถยนต์ไฟฟ้า

4.บริหารเศรษฐกิจโดยใช้ยุทธศาสตร์ “วงจรคู่”(dual circulation) โดยเน้นที่ “การหมุนเวียนภายในประเทศ” โดยยุทธศาสตร์นี้ จีนต้องการลดการพึ่งพาภาคเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยจะมุ่งขยายตลาดในประเทศจากเดิมที่เน้นผลิตเพื่อส่งออก รวมทั้งลดการพึ่งพาการนำเข้าและหันมาผลิตเองมากขึ้น  

5.เน้นความมั่นคงในหลายมิติ ไม่ใช่เพียงเรื่องการทหารเท่านั้น รวมถึง ความมั่นคงด้านเทคโนโลยี, cybersecurity, data security, food security, energy security และ ความมั่นคงทางด้านประชากร เนื่องจากจีนได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และ ประชาชนมีลูกลดลง

ภายใต้ยุทธ์ศาสตร์ และการขับเคลื่อนแผนทั้งหมดนี้ ทำให้มี 4 กลุ่มธุรกิจในประเทศจีน ที่จะได้รับอานิสงส์ และมีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น

4 กลุ่มธุรกิจจีน...ที่ได้แรงหนุนจากรัฐบาล

1.สินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Brands)  

ในแผนยุทธศาสตร์ชาติจีนฉบับที่ 14 ส่วนหนึ่งมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนประชากรที่อยู่อาศัยในสังคมเมือง ให้เป็น 65% ของจำนวนประชากรทั้งหมด จากปัจจุบัน 60% ซึ่งการมีประชากรในสังคมเมืองมากขึ้นนั้น จะหนุนกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคในจีนให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะแบรนด์สินค้าสัญชาติจีน เห็นได้ชัดเจนจากกลุ่มสินค้าอุปกรณ์กีฬา ที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ส่วนแบ่งการตลาดของแบรนด์สัญชาติจีน เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเมื่อเทียบกับแบรนด์จากต่างประเทศ2

ไม่เพียงเท่านี้ แบรนด์สินค้าแฟชั่นโดยรวมของจีน ก็มีโอกาสการเติบโตดีเช่นกัน หลังจากแบรนด์สินค้าฝั่งตะวันตกถูกจีนคว่ำบาตร โดยมีจุดเริ่มต้นจากการที่แบรนด์ฟาสต์แฟชั่นอย่าง H&M ได้ออกแถลงการณ์ต่อต้านการใช้แรงงานอุยกูร์ในอุตสาหกรรมคอตตอนซินเจียง พร้อมทั้งเลิกสั่งซื้อคอตตอนจากแหล่งผลิตนี้ด้วย จนทำให้จีนมีมาตรการคว่ำบาตรแบรนด์นี้ทันที รวมถึงอีกหลายๆแบรนด์ เช่น ไนกี้ อาดิดาส เบอร์เบอรี่ และอีกหลายแบรนด์ดังจากชาติตะวันตกก็ถูกบล็อก ทำให้ชอปหายไปจากโลกออนไลน์จีน

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีการจัดการขั้นเด็ดขาดให้โลเคชั่นของชอปของแบรนด์ตะวันตกที่อยู่ในเมืองใหญ่ของจีน ถูกลบออกไปจากแผนที่บนแพลตฟอร์มดิจิทัล จนไม่สามารถที่จะเรียกแท็กซี่ไปชอปปิ้งได้ด้วย

2.Biotechnology

การที่อายุขัยเฉลี่ยของประชากรจีนเพิ่มขึ้นและเข้าสู่สังคมสูงวัย จะส่งผลบวกต่อกลุ่ม Health Care เป็นอย่างมาก เนื่องจากพออายุมากขึ้น ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาสุขภาพ ก็จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตาม จากภาพจะเห็นได้ว่า สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพต่อค่าใช้จ่ายด้านอุปโภคบริโภคในจีน น้อยกว่า สหรัฐฯ เป็นอย่างมาก ทั้งที่ประชากรจีนมีมากกว่าสหรัฐฯถึง 4 เท่า ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการเข้าถึงการรักษาที่ยังน้อย และ ประกันสุขภาพยังไม่แพร่หลายเทียบเคียงกับสหรัฐฯนั่นเอง

อย่างไรก็ตามในปี 2020 ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในด้านการกำกับดูแลการขึ้นทะเบียนยา ทำให้การบริษัทยาต่างชาติสามารถเข้าถึงตลาดจีนได้มากขึ้น เร่งกระบวนการอนุมัติตัวยาให้เร็วขึ้น และ ผสมผสานนโยบายการอนุมัติตัวยาให้มีมาตรฐานเทียบเคียงกับระดับนานาชาติมากขึ้น เป็นอีกหนึ่งสัญญาณ ที่บ่งบอกว่ารัฐบาลกำลังสนับสนุนธุรกิจกลุ่มนี้ ซึ่งตรงนี้จะผลักดันให้สิทธิบัตรในตัวยาของประเทศจีน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไปอีกในระยะข้างหน้า และยังทำให้ประชากรจีนเข้าถึงยา และการรักษาได้ดีขึ้นอีกด้วย

3.Semiconductors

ธุรกิจ Semiconductor ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่แทรกซึมอยู่ในทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็น จอแสดงผล โทรศัพท์มือถือ รวมไปถึง วงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้นภายใต้การผลักดันของรัฐบาลจีน ทั้งในด้านTechnology และ Innovation ที่ทำมาตลอดในระยะเวลาหลายปี และต่อเนื่องตามแผนยุทธศาตร์ชาติไปอีก 5 ปีข้างหน้า จึงจะส่งผลให้กลุ่ม Semiconductor น่าจะได้ประโยชน์มากจากประเด็นนี้

โดยในอนาคตการเติบโตของกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า จะเป็นปัจจัยหนุนกลุ่มSemiconductorsเติบโตสูง โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ซึ่งมีส่วนประกอบของSemiconductors มากกว่ารถยนต์ปกติ ทาง Global X คาดว่า Semiconductor สำหรับรถยนต์ จะมีมูลค่าตลาดถึง 110 พันล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในปี 2030 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 11%4

4.Clean Energy

รัฐบาลจีนมีเป้าหมายว่าในปี 2025 อัตราการใช้พลังงานต่อหน่วยเมื่อเทียบกับ GDP ปี 2020 จะต้องลดลง 13.5% ทำให้กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด โดยเฉพาะ ธุรกิจ Solar ธุรกิจพลังงานลม ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน หรือ รถยนต์ไฟฟ้า ได้ประโยชน์โดยตรง

สังเกตุได้จากยอดการติดตั้งกังหันลมเพื่อผลิตไฟฟ้า มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ ปี 2021 เป็นต้นไป เริ่มมีการคาดการณ์ว่าจะมีการขยายการติดตั้งกังหันลมออกไปนอกชายฝั่งเพิ่มมากขึ้นในจีน รวมถึงธุรกิจ พลังงานแสงอาทิตย์ ที่มีแนวโน้มต้นทุนลดลงในระยะข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้ครัวเรือนหันมาใช้เพิ่มมากขึ้น6

กองทุน TCHSTRATEGY ปักหมุดธุรกิจตามแผนยุทธศาสตร์จีน

นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อให้นักลงทุนไม่พลาดทุกอุตสาหกรรมที่เป็นเรือธงของเศรษฐกิจจีน บลจ.ทิสโก้จึ่งเปิดเสนอขาย กองทุนเปิด ทิสโก้ China Strategy (TCHSTRATEGY) ระดับความเสี่ยง 6 (เสี่ยงสูง)  ลงทุนในหน่วยลงทุนกองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ และ/หรือกองทุนรวมอีทีเอฟตราสารทุนต่างประเทศ

เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของประเทศจีน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์และนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในด้านต่างๆ รวมถึงบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องหรือมีความเชื่อมโยงกับทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจีนในระยะยาว เปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) 1 - 9 สิงหาคม 2565

“ปัจจุบันกองทุนหลักจะกระจายการลงทุนไปยัง 4 กลุ่มธุรกิจของจีน เช่น กลุ่มอุปโภคบริโภค (Consumption) ได้ประโยชน์โดยตรงจากพลังผู้บริโภค 1,400 ล้านคนของจีน กลุ่มธุรกิจไบโอเทคโนโลยี (Biotechnology) ได้ประโยชน์จากรัฐบาลเดินหน้าสนับสนุนธุรกิจเฮลธ์แคร์ และการเข้าสู่สังคมสูงอายุของจีน กลุ่มธุรกิจสารกึ่งตัวนำ (Semiconductor) ได้ประโยชน์จากการสนับสนุนเทคโนโลยี ซึ่ง Semiconductor เป็นเมล็ดพันธุ์ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่แทรกซึมอยู่ในทุกอุปกรณ์ เช่น จอแสดงผลโทรศัพท์มือถือ รวมไปถึง วงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย

และสุดท้ายคือพลังงานสะอาด (Clean Technology) ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์โดยตรงจากแผนพัฒนาฯ ทำให้นักลงทุนไม่พลาดทุกโอกาสการเติบโตของจีน โดยกองทุนจะปรับเปลี่ยนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ลงทุนไปตามภาวะตลาด” นายสาห์รัชกล่าว

พิเศษสำหรับลูกค้าที่มียอดเงินลงทุนในกองทุน TCHSTRATEGY ตั้งแต่วันที่ 1 - 9 สิงหาคม 2565  ตั้งแต่ 10 – 19.99 ล้านบาท รับทองคำหนัก 1 สลึง และยอดเงินลงทุนสะสมตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป รับทองคำหนัก 2 สลึง (1 สิทธิ ต่อ 1 ท่าน)  

ที่มา : Tisco,  บลจ.ทิสโก้เปิด TCHSTRATEGY หวังปั้นกำไรโตตามแผนยุทธศาสตร์ชาติจีน” , Press Release ส.ค. 2565

ติดต่อโฆษณา!