15 กรกฎาคม 2565
892

ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน อยู่ในภาวะ “ซบเซา” ครั้งแรกในรอบ 11 เดือน

ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน อยู่ในภาวะ “ซบเซา” ครั้งแรกในรอบ 11 เดือน
Highlight

สภาธุรกิจตลาดทุนไทยเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นในการลงทุนในระยะ 3 เดือนข้างหน้าลดวูบ อยู่ในภาวะ“ซบเซา”เป็นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน หลังจากมีหลายปัจจัยลบกดดันการลงทุน หลักๆ คือนโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED ที่อาจนำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจถดถอย ภาวะเงินเฟ้อจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก และความกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 ส่วนค่าเงินบาท แนวโน้มอ่อนค่าสู่ 36.70 บาท /ดอลลาร์ ซึ่งช่วยหนุนกลุ่มท่องเที่ยว ส่งออก-อาหารเติบโตได้

สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลง 23.1% อยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” เป็นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน กังวลสถานการณ์เงินเฟ้อทั่วโลก และเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย เดือน มิ.ย ต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนแรกหลังจากซื้อสุทธิมาตลอดตั้งแต่เดือนธันวาคม  2564 

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ในเดือนมิถุนายน 2565 พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 64.57 ปรับตัวลดลง 23.1% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” เป็นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน 

โดยนักลงทุนมองว่าการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว จะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือ เงินทุนไหลเข้า และนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ

สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ นโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED ที่อาจนำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจถดถอย รองลงมาคือ ภาวะเงินเฟ้อจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก และความกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5

ผลสำรวจ ณ เดือนมิถุนายน 2565 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่าความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับลด 33.9% อยู่ที่ระดับ 69.57 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับลด 25.9% อยู่ที่ระดับ 55.56 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับขึ้น 5.9% อยู่ที่ระดับ 87.50 และความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับลด 4.8% มาอยู่ที่ระดับ 57.14

ในช่วงเดือนมิถุนายน 2565 ดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบแคบอยู่ระหว่าง 1,557.61-1,660.01 จุด จากความกังวลต่อสถานการณ์เงินเฟ้อทั่วโลก และความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่สภาวะถดถอยมากขึ้น หลังประธาน FED และประธาน ECB ส่งสัญญาณเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ ทำให้ในเดือนมิถุนายน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 29,990  ล้านบาท เป็นการขายสุทธิในเดือนแรกหลังจากซื้อสุทธิมาตลอดตั้งแต่เดือนธันวาคม  2564 

อย่างไรก็ตาม ตลาดไทยยังได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ภาครัฐประกาศมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นของราคาพลังงานและมาตรการหนุนภาคท่องเที่ยว ส่งผลให้ ดัชนี ปิดที่ 1,568.33 จุด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 ปรับตัวลดลง 5.7% จากเดือนก่อนหน้า

ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ แนวทางการรับมือของ FED ต่อสถานการณ์เงินเฟ้อหลังอัตราเงินเฟ้อปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปี  ความไม่แน่นอนของสงครามรัสเซียยูเครน ซึ่งยังคงเป็นความเสี่ยงหลักต่อเศรษฐกิจโดยเฉพาะด้านพลังงานในยุโรป รวมถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนหลังมีการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ แนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.  สถานการณ์เงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงจากราคาพลังงานในตลาดโลกและราคาวัตถุดิบในประเทศ และสถานการณ์การระบาดโควิด-19 สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5

แนวโน้มบาทอ่อนค่า คาดแตะ 36.70 บาท/ดอลลาร์

แนวโน้มค่าเงินบาท มีโอกาสอ่อนแตะ 36.70 บาท/ดอลลาร์ จากความไม่แน่นอนทิศทางนโยบายการเงินเฟด กดดันตลาดการเงินอีกครั้ง หลังเงินเฟ้อทั่วไป CPI ของสหรัฐฯ ล่าสุด ออกมาสูงกว่าคาด เฟดอาจมีโอกาสเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงกังวลเศรษฐกิจหลักเข้าสู่ภาวะถดถอย

คุณพูน พาณิชพิบูล นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai Global Market ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  36.58 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  36.62 บาทต่อดอลลาร์

ตลาดการเงินโดยรวมยังคงถูกกดดันจากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจหลักอาจเข้าสู่สภาวะถดถอยได้ จากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของบรรดาธนาคารกลาง โดยเฉพาะในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงและกังวลแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมากขึ้น หลังจากที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ อาทิ JPM (-3.5%) และ Morgan Stanley (-0.4%) รายงานผลกำไรแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ กดดันให้หุ้นกลุ่มการเงินต่างปรับตัวลดลง เช่นเดียวกันกับหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่อ่อนไหวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ (Cyclical stocks)

อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงกลับเข้ามาซื้อหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Apple +2.1% หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทรงตัวใกล้ระดับ 3.00% อีกทั้งผู้เล่นในตลาดมองว่าผลประกอบการของบริษัทเทคฯ ใหญ่ อาจยังไม่แย่มากนัก ส่งผลให้ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.30%

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป ปรับตัวลงต่อเนื่องกว่า -1.53% กดดันโดยความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปอาจเสี่ยงเข้าสู่สภาวะถดถอย ท่ามกลางความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤติพลังงานและแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงขายหุ้นกลุ่มธนาคาร (Intesa Sanpaolo -5.5%, Santander -4.7%) รวมถึงหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบ (Total Energies -4.7%, BP -3.5%)  

ทางด้านตลาดบอนด์ ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความเสี่ยงเศรษฐกิจหลักอาจถดถอย ได้กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 2.96% แม้ว่าตลาดจะยังคงมองว่าเฟดอาจมีโอกาสเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงได้ หลังเงินเฟ้อทั่วไป CPI ของสหรัฐฯ ล่าสุด ออกมาสูงกว่าคาด อนึ่ง เรามองว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวยังมีโอกาสผันผวนได้ในวันนี้ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดจะรับรู้ รายงานเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะกลาง (U of Michigan 5-year Inflation Expectations) ซึ่งเรามองว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นอีกปัจจัยที่เฟดติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินความจำเป็นของการเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ยังคงผันผวนหนัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ได้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นทดสอบจุดสูงสุดใหม่ใกล้ระดับ 109 จุด ท่ามกลางความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) เพื่อรับมือความเสี่ยงเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะยุโรปเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอย

อย่างไรก็ดีเงินดอลลาร์ได้พลิกกลับมาย่อตัวลงบ้าง จากแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลสถานะการถือครองเงินดอลลาร์ (Net Long Positions) ที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามจุดสูงสุดใหม่ของเงินดอลลาร์ โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ ได้ย่อตัวลงและแกว่งตัวใกล้ระดับ 108.6 จุด อนึ่ง แม้เงินดอลลาร์จะแกว่งตัว sideways หรือย่อลงเล็กน้อย พร้อมการบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ย่อตัวลงบ้าง แต่แนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดก็เป็นปัจจัยที่กดดันให้ ราคาทองคำย่อตัวลงและแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,710 ดอลลาร์ต่อออนซ์

“สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มผันผวนและมีความเสี่ยงที่จะอ่อนค่าได้ ท่ามกลางปัจจัยกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ รวมถึงความกังวลแนวโน้มทางการจีนอาจใช้มาตรการ Lockdown ที่เข้มงวดเพื่อควบคุมการระบาดของ COVID-19 อย่างไรก็ดี เรามองว่า หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนในวันนี้ออกมาดีกว่าคาดและช่วยหนุนให้ตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงสินทรัพย์ฝั่ง EM Asia มากขึ้น ก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของสกุลเงินฝั่ง EM Asia ได้บ้าง โดยแนวต้านใหม่ของเงินบาทจะเป็นโซน 36.70 บาทต่อดอลลาร์” คุณพูน กล่าว

อย่างไรก็ดี ควรระมัดระวังความผันผวนในตลาดการเงินในช่วงตลาดรับรู้รายงานเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะกลางในวันนี้ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อทิศทางดอกเบี้ยนโยบายเฟด ซึ่งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงินเฟดได้กลับมากดดันตลาดการเงินอีกครั้ง ทำให้ตลาดมีแนวโน้มผันผวนสูงในระยะนี้ ซึ่งเราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลาย โดยเฉพาะกลยุทธ์ที่ใช้ Options ซึ่งสามารถเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพในช่วงตลาดผันผวนหนักได้

ติดต่อโฆษณา!