09 มิถุนายน 2565
1,030

กลยุทธ์การลงทุนของ Baillie Gifford ในช่วงเศรษฐกิจผันผวน

กลยุทธ์การลงทุนของ Baillie Gifford ในช่วงเศรษฐกิจผันผวน

ทำไม Baillie Gifford มองว่าจังหวะที่เศรษฐกิจโลกเสี่ยงถดถอย เป็นจังหวะที่ควรถือลงทุนต่อ

“สิ่งที่ต้องมีในตอนนี้ไม่ใช่วินัยในการขายหุ้น แต่คือวินัยการถือลงทุน”

มมอง Baillie Gifford ต่อกลยุทธ์การลงทุนในกองทุน Baillie Gifford Long Term Global Growth (LTGG) กองทุนหลักของ ONE-UGG

นช่วง 5 เดือนแรกของปี 2565 ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญปัจจัยกดดันที่หลากหลาย เช่น ความกังวลการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED และการลดขนาดงบดุลทำให้สภาพคล่องในตลาดลดลง ภูมิรัฐศาสตร์ (รัสเซีย-ยูเครน)และการ Lockdown เซี่ยงไฮัศูนย์กลางทางการเงินของจีนจากนโยบาย Zero-covid ทำให้ตลาดกังวลว่าเศรษฐกิจโลกอาจจะเข้าสู่ภาวะ ถดถอยในอีก 6-12 เดือนข้างหน้า

Baillie Gifford (BG) ได้เปรียบเทียบสถานการณ์การลงทุนในปัจจุบันว่าเหมือนกับการล่องเรืออยู่กลางทะเลที่มีพายุพัดกระหน่ำ แต่ BG ไม่เคยตัดสินใจหันหัวเรือกลับสู่ชายฝั่งตลอด 3 ทศวรรษที่ผ่านมา เช่นเดียวกับการลงทุน สิ่งที่ต้องมีในตอนนี้ไม่ใช่วินัยในการขายหุ้น แต่คือวินัยการถือลงทุนซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สร้างมูลค่าให้กับลูกค้าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 

สิ่งที่ BG ทำมีเพียงแค่การตรวจสอบว่าธุรกิจที่ถือลงทุนสามารถฝ่าพายุนี้ไปได้หรือไม่ในระยะยาว โดยการที่จะทำเช่นนี้ได้เราต้องเชื่อว่าเรือของเรานั้นแข็งแกร่ง กล่าวคือ หุ้นในพอร์ตการลงทุนมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีทั้ง Top-line และ earnings และมีการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตมากกว่าการจ่ายปันผลหรือซื้อหุ้นคืน อย่างไรก็ตามปัจจุบันกองทุนมีหุ้น 15 ตัวในพอร์ตที่ยังไม่มีกำไร คำถามคือหุ้นพวกนี้จะฝ่ามรสุมนี้ไปได้หรือไม่? คำตอบคือหุ้นในนี้ส่วนใหญ่เป็นเครื่องจักรประสิทธิภาพสูงที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างแท้จริง จึงไม่มีอะไรที่น่ากังวล โดยหุ้นที่ทั้งกำไรและกระแสเงินสดติดลบมีเพียง Coupang, Carvana, Bilibili, BeiGene,Beyond Meat และ Peloton โดยหุ้นที่กองทุนดูจะเริ่มกังวลมีเพียง 2 ตัวหลัง (สัดส่วนรวมกัน 1.8% ของกองทุน)ซึ่งกองทุนได้จับตาพัฒนาการของกิจการอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามในมุมกลับกันหุ้นโดยส่วนใหญ่ (น้ำหนักกว่า 90% ของกองทุน) อยู่ในจุดที่แข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยกตัวอย่างเช่น Modera ที่ประสบความสำเร็จ
กับวัดซีน Covid-19 และมีเงินเพื่อไปลงทุนในเทคโนโลยี mRNA ต่อในการพัฒนาวัคซีนในโรคอื่น ๆ ประกอบกับต้นทุน genome sequencing ที่ลดลง 18% ต่อปี ได้ช่วยในการพัฒนาการรักษาโรคใหม่ ๆ ซึ่ง BioNTech รวมถึงผู้ผลิตเครื่องอย่าง Illumina ก็ได้ประโยชน์เช่นกัน ด้าน ASML และ NVIDIA ได้รับประโยชน์อย่างเด่นชัดจากการเติบโตของอุตสาหกรรม semiconductor ขณะที่ Tesla ส่งมอบรถยนต์ทำสถิติใหม่และทำ margin ได้ดีกว่าค่ายรถยนต์เดิม อีกทั้งการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันส่งผลบวกต่อการหันมาใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น โดยหุ้นจีน NIO และ CATL ในพอร์ตก็ได้ประโยชน์ด้วย นอกจากนี้ BG ยังได้เข้าซื้อหุ้นบางตัวที่ราคาลดลงอย่างไม่สมเหตุสมผล (Coupang และ Affim) โดยกรณี Affim BG เชื่อว่าจะสามารถครองส่วนแบ่งตลาดบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ได้ 25% ในทศวรรษข้างหน้า ด้วย GMV กว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และ จะทำกำไรได้ 7 พันล้านเหรียญ ในปี 2032 ขณะที่หุ้นใหม่ที่กองทุนเพิ่มเข้ามาในไตรมาสก่อนได้แก่ Roblox แพลตฟอร์มที่จะได้รับประโยชน์จากการมาของ Metaverse, SEA เจ้าตลาด e-commerce ในอาเชียน รวมถึง LATAM และ Ginkgo Bioworks ที่มองว่าจะเข้ามาปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่ด้วยชีววิทยา

นักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนลงในกองทุนหลากหลายประเภทและต้องการคำปรึกษาว่าควรจะปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนในสถานการณ์ตอนนี้อย่างไร ติดต่อบลน. เวลท์ รีพับบลิค ผ่าน LINE IDได้ที่ @Wealthrepublic

ที่มา: ONEAM, Wealth Republic

ติดต่อโฆษณา!