06 มิถุนายน 2565
2,228

เงินเฟ้อพุ่ง หุ้นกลุ่มไหนยังมีอนาคต

Highlight

เงินเฟ้อสหรัฐที่สูงสุดในรอบ 40 ปีจนทำให้ธนาคารกลางหรือ Fed ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและแรง รวมทั้งการดึงเงินออกจากระบบ หรือ QT เพื่อดึงเงินเฟ้อ ให้ต่ำลงมา ทำให้การลงทุนในปีนี้ผันผวนมากในทุกตลาด บมจ.หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะนำกลยุทธ์การลงทุนท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยขาขึ้น คัดเลือกกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการขึ้นดอกเบี้ย เช่นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มอุปโภคบริโภค การแพทย์ น้ำมัน และทองคำ


นับตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ส่งสัญญาณปรัยอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น จนส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากต้องการควบคุมเงินเฟ้อด้วยการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยที่เร็วขึ้นและเพิ่มในอัตราที่สูงขึ้น

เราจะบริหารเงินลงทุนท่ามกลางความเสี่ยงนี้อย่างไร มาติดตามมุมมองที่น่าสนใจ และคำแนะนำในการลงทุนกับ “Win with Asset Allocation with Phillip Capital”โดยคุณธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บมจ.หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) 

แน่นอนว่าบรรยากาศการลงทุนในหุ้นไทยในช่วงปลายไตรมาสที่2 ต่อเนื่องไตรมาสที่ 3 ก็ได้รับผลกระทบเชิงลบจากปัจจัยเงินเฟ้อเร่งตัวของสหรัฐเช่นเดียวกับกับตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก เพราะธนาคารกลางสหรัฐ หรือ ‘เฟด’ เตรียมเข้าควบคุมเงินเฟ้อด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย คุณธีรดากล่าว

ดังนั้น impact ที่มีต่อตลาดกับอัตราเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม อย่างน้อยที่สุด Upside ของตลาดหุ้นไทยน่าจะมีอย่างจำกัดมากขึ้นอย่างน้อยในไตรมาสที่ 2 ถึงไตรมาสที่ 3 เป็นการซิกแซ็กลงมากกว่า

ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลดลงต่อเนื่อง 7-8 สัปดาห์ แต่ตลาดหุ้นไทยอาจจะดูแข็งแรงกว่า หรือลงน้อยกว่าเป็นเพราะว่า ประการแรก ข่วงก่อนหน้าที่ตลาดหุ้นโลกปรับขึ้นตลาดสหรัฐก็ปรับขึ้นไปทำ new high ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังไม่ได้ปรับขึ้น ไปทำจุดสูงสุดใหม่ เวลาปรับตัวลง จึงปรับลงน้อยกว่า และประการที่ 2 อัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าสหรัฐและชาติตะวันตก ทำให้การปรับฐานของตลาดหุ้นไทยช้ากว่าหรือน้อยกว่าตลาดหุ้นชาติตะวันตก

20220606-a-03.jpg

เงินเฟ้อจะอยู่กับเราอีกนานหรือไม่ และจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยอย่างไร 

สถานการณ์เงินเฟ้อ อาจเป็นเรื่องอยู่เหนือการควบคุม ปัจจัยที่เป็นตัวเร่ง เช่นสถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน และราคาพลังงานที่สูงขึ้น ทำให้ต้นทุนหลักของภาคการผลิตและอุตสาหกรรมสูงขึ้น เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เงินเฟ้อของไทยมีปริมาณสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงมาก 

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องวิกฤติการขาดแคลนอาหารในหลายๆ ประเทศ  ซึ่งล้วนแล้วเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เงินเฟ้อไทยเพิ่มขึ้น

ทิศทางดอกเบี้ยเป็นอย่างไร 

เป็นที่แน่นอนว่า ทิศทางดอกเบี้ยค่อนข้างเป็นขาขึ้นชัดเจน  Fed มีความ Aggressive มากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ครั้งล่าสุดที่ปรับขึ้นคือ 0.5% และอีกเรื่องที่สำคัญคือ Quantitative Easing หรือ QT ซึ่งจะเป็นการดึงเงินออกจากระบบ

20220606-a-02.jpg

การเปิดประเทศส่งผลอย่างไร ชดเชยกับความเสี่ยงเรื่องอัตราเงินเฟ้อได้หรือไม่ 

การเปิดประเทศเป็นความหวังด้านการลงทุน เพราะเรื่องเงินเฟ้อคุมเราไม่ได้ แต่สิ่งที่ดีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังแย่คือเรื่องโควิด ที่กำลังคลี่คลายลง หลายๆ ประเทศก็อยู่ในภาพเดียวกัน พยายามที่จะให้กิจกรรม กิจการด้านเศรษฐกิจกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ 

เนื่องจากรายได้หลักส่วนหนึ่งของประเทศไทย  คือการท่องเที่ยวซึ่งซบเซามาตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าๆ ตอนนี้เป็นความหวังค่อนข้างมากที่เห็นตัวเลขเริ่มดีขึ้น

ถ้าในเชิงเปรียบเทียบว่าเราจะดีเท่ากับก่อนยุคโควิดหรือไม่ อาจจะเร็วเกินไปในเรื่องของจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวไทย เพราะก่อนโควิด จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศอยู่ที่ 30-40 ล้านคน ปัจจุบันอยู่ที่ราว 5-7ล้านคนก็ถือว่ามากแล้ว ในช่วงเริ่มต้น แต่สำหรับในไตรมาสที่ 4 อาจจะเข้ามามากขึ้นเนื่องจากเป็น High Season และไทยเปิดประเทศแล้วด้วย 

เงินเฟ้อกระทบกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยมากน้อยแค่ไหน

ผลกระทบก็ขึ้นอยู่กับการปรับตัวของบริษัทจดทะเบียน แต่โดยทั่วไปค่อนข้างจะไปในทาง Nagative แต่ทุกๆ บริษัทพยายามปรับตัวในการบริหารต้นทุนองบริษัทให้ดีขึ้น ในเรื่องของรายได้ก็ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดก่อนหน้านี้ แต่หลายๆคนน่าจะเห็นว่าจุด Bottom อาจจะผ่านไปแล้ว ในส่วนของTop line หรือส่วนของรายได้ สามารถเติบโตมาได้จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ประเด็นของเงินเฟ้อ ส่วนใหญ่ค่อนข้างเป็นลบ จะมี Sector ที่ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น เช่นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หรือกลุ่มสินค้าจำเป็นในเรื่องอุปโภคบริโภค ที่อยู่ในปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นกลุ่มคนทั่วไปจะลดค่าใช้จ่ายลงเป็นกลุ่มสุดท้าย ก็เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบที่น้อยกว่า

20220606-a-01.jpg

เงินเฟ้อพุ่ง หุ้นกลุ่มไหนที่มีอนาคต

ธีมหุ้นอุปโภคบริโภค  เพราะเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับปัจจัย 4 หุ้นที่น่าสนใจลงทุนคือ 

CP ALL  เพราะเป็นบริษัทที่ขายสินค้าเกี่ยวกับการอุปโภคบริโภคและเป็นชิ้นเล็กๆ เพราะฉะนั้นทุกคนก็สามารถใช้จ่ายได้ จากการที่ราคาสินค้าแพงขึ้น ทำให้กำลังซื้อประชาชนลดลง จากคนที่เคยซื้อของในปริมาณมาก ก็จะลดปริมาณลง

7-Eleven มีสาขาอยู่ทุกที่ โดยมียอดการใช้จ่ายต่อบิลอยู่ที่ 80-85 บาท เป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย 

CPF ซึ่งเป็นบริษัทด้านการบริโภคขั้นพื้นฐาน หมู ไก่ กุ้ง การปรับขึ้นของราคาส่งผลต่อรายได้ของบริษัทชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา ได้ประโยชน์เมื่อราคาหมูแพงขึ้น ผู้บริโภคสามารถบริโภคเนื้อไ่ก่ทดแทน

ธีมปรับดอกเบี้ยขาขึ้น

กลุ่มธนาคารได้ประโยชน์ชัดเจน หุ้นที่เลือกมาเป็น Top Pick คือ 

BBL ซึ่งเป็นธนาคารที่ได้ประโยชน์ในเรื่องของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ในระหว่างที่ดอกเบี้ยทิศทางขาขึ้น ด้วยโครงสร้างของ BBL กว่า 88% ของลูกค้ารายใหญ่และ SME มีการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว เมื่อดอกเบี้ยอยู่ในทิศทางขาขึ้น ธนาคารสามารถปรับขึ้นได้ทันที ในขณะที่ฝั่งที่เป็นต้นทุน ด้วยโครงสร้างของประมาณ 40% เงินฝากที่รับเข้ามาเป็น Fix ดังนั้นจึงมี Lag Time ของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอยู่บ้าง ถ้าเทียบกับธนาคารอื่นที่มีสัดส่วนตรงนี้น้อยกว่า BBL แบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่า จึงได้รับประโยชน์เรื่องส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเพิ่มมากที่สุด เป็นบวกต่อกำไร

ธีมหุ้นโรงพยาบาล

BH หรือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ถือเป็นหุ้นที่อยู่ในปัจจัย 4 เช่นเดียวกัน เมื่อเจ็บป่วยไม่สบายก็ต้องไปรับการรักษา เป็นหุ้นด้านการแพท ถือเป็นหุ้นที่ได้รับผลกระทบน้อยจากเงินเฟ้อเช่นกัน แม้ได้รับผลกระทบจากต้นทุนยาที่เพิ่มขึ้น แต่ BH มี Supplier ที่ค่อนข้างเยอะ และหลากหลายสามารถบริหารต้นทุนได้ดี และในเชิงบวกที่เกิดขึ้นกับ BH มองในเรื่องการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว และเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์จะกลับมา หนึ่งในลูกค้ากลุ่มนี้คือนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง ซึ่งมีกำลังซื้อที่มากขึ้น จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น 

สินค้าโภคภัณฑ์ (น้ำมัน) เป็นอย่างไร

ถ้ามองเจาะไปถึงราคาน้ำมัน ทิศทางเป็นขาขึ้นชัดเจน ประเด็นเรื่องปัญหา Supply, Demand อาจจะยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ส่วนราคาจะพุ่งสูงขึ้นมากกว่านี้หรือไม่ ตัวแปรหลักต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ตอนนี้จีนฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่น ถ้าจีนฟื้นตัวเร็ว ในอัตราเร่งมากขึ้น ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นมากกว่านี้ ปัญหาเรื่อง Supply ทางชาติตะวันตกมีความพยายามอย่างมากในการที่จะเติม Supply จากปัญหารัสเซีย-ยูเครน ที่มีผลกระทบจากการตึงตัวของ Supply 

ดังนั้น Downside น่าจะจำกัด ทิศทางเป็นขาขึ้นชัดเจน แต่ Upside ที่จะมากไปกว่านี้ ยังไม่มองไม่เห็นในขณะนี้ ทุกคนยังพยายามข่วยกันแก้ไขปัญหาตรงนี้อยู่ แต่มันจะ Peak ขึ้นไปได้ถ้าจีนฟื้นตัวกลับมาเต็มที่ ด้วยอัตราเร่งจะเป็นแรงกระตุ้นของราคาน้ำมัน 

ทองคำ 

ราคาทองคำที่ค่อนข้างทรงตัวมาระยะหนึ่ง สำหรับราคาทองคำในประเทศ ซึ่งราคาอยู่ที่ราว 30,000 บาท ต่อทองคำน้ำหนัก 1 บาท ทองคำจะแตกต่างจากน้ำมันตรงที่ มองว่าน้ำมันทิศทางขาขึ้นแต่ Downside จำกัด ในขณะที่ทองคำ อยู่ในทิศทางขาขึ้นแต่ Upside จำกัด เป็นภาพที่ชัดเจนเพราะว่าในเรื่อง การดำเนินนโยบายด้านการเงินของ Fed มีผลกระทบค่อนข้างมากต่อราคาของทองคำ ทั้งเรื่องการขึ้นดอกเบี้ย การทำ QT ที่จะเกิดขึ้น  การแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ  Bond Yield ที่เพิ่มขึ้น ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยเชิงลบที่มีต่อการฟื้นตัวของทองคำ  ปัจจัยบวกเดียวสำหรับทองคำถ้าจะเกิดขึ้นก็คือ ความวิตกกังวลมากๆของนักลงทุน ต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ไม่เป็นไปตามคาดการณ์ การปรับขึ้นดอกเบี้ยที่เร็วและแรงเกินไป ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง จะทำให้ภาพ Upside ราคาทองคำเปลี่ยนแปลงไป 

สรุปภาพตลาด

ในช่วงนี้ตลาดผันผวนค่อนข้างมาก มีความอ่อนไหวของทุกสินทรัพย์ค่อนข้างสูงมาก นักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุน ตอนนี้ต้องมีความพร้อม ในเรื่องการกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ถ้าจะโฟกัสอยู่แค่เรื่องหุ้นเพียงอย่างเดียว ควรกระจายไปในหลาย Sector การ Diversify น่าจะมีส่วนช่วยค่อนข้างมาก

สำหรับนักลงทุนที่จะเข้ามาเก็งกำไรในระยะสั้น ต้องยอมรับว่ามีความผันผวนมาก เพราะฉะนั้นการกำหนดกลยุทธ์ในการเข้า การกำหนดจุด Cut loss ที่ชัดเจน และมีวินัยในการลงทุนจะช่วยได้ คุณธีรดากล่าว

ติดต่อโฆษณา!