21 เมษายน 2565
1,880

คาดกำไรตลาด Q1/65 แตะ 3 แสนล้านสูงเป็นประวัติการณ์

คาดกำไรตลาด Q1/65 แตะ 3 แสนล้านสูงเป็นประวัติการณ์
Highlight

เข้าสู่ฤดูกาลประกาศงบ Q1/65 พร้อมการประกาศจ่ายปันผลกันแล้วในปีนี้นักวิเคราะห์บางสำนักมีมุมมองเชิงบวกมากๆ เช่น บล.ทิสโก้ ที่มองว่ากำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนไทยจะกระโดดไปถึง 3 แสนล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคาร ที่ได้อานิสงส์จากการตั้งสำรองลดลงและกลุ่มพลังงาน จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น


ฤดูกาลการประกาศงบ 1Q ปี 2565 กำลังเริ่มขึ้น ด้วยภาพการฟื้นตัวของหลายๆ บริษัท คาดว่ากำไรรวมของตลาดในงวดนี้จะขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์เกิน 3 แสนล้านบาทได้ 

มุมมอง บล.ทิสโก้ 

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่าแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 1/65 ของตลาดโดยรวมที่เบื้องต้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2 หลัก ทั้งเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (YoY) และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) แตะระดับ 3 แสนล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ น่าจะช่วยหล่อเลี้ยงบรรยากาศการลงทุนโดยรวมต่อเนื่องในเดือน เม.ย.นี้

สำหรับผลประกอบการหุ้นกลุ่มธนาคารที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของ บล.ทิสโก้ ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ BAY, BBL, KBANK, KKP, KTB, SCB และ TTB คาดว่าไตรมาส 1/65 จะมีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 4.89 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.4% YoY และเพิ่มขึ้น 21.7% QoQ

การเติบโต YoY หลักๆ มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของสินเชื่อ และการตั้งสำรองฯ (ต้นทุนเครดิต) ที่คาดจะลดลงจากการกลับมาเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ ขณะที่การเติบโตของกำไร QoQ มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และต้นทุนเครดิตที่ลดลง 

โดยเชื่อว่า ธนาคารขนาดใหญ่ยังมีโอกาสเห็นต้นทุนเครดิตลดลงได้มากกว่าธนาคารขนาดเล็ก รวมทั้งจะได้ประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว หลักๆ มาจากผลกระทบของสงครามยูเครน-รัสเซีย และมาตรการคว่ำบาตรต่างๆ รวมถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่สูงขึ้นต่อเนื่อง และแนวโน้มการเร่งเข้มงวดทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) 

ทั้งการขึ้นดอกเบี้ยและการเริ่มดึงสภาพคล่องออกจากระบบในช่วงเดือนพ.ค.ถึงเดือนมิ.ย.นี้ เชื่อว่าจะไม่เป็นผลดีต่อตลาดโดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ และทิศทางของกระแสเงินทุนต่างประเทศในระยะถัดไป

สำหรับการลงทุนในเดือน เม.ย. หุ้นที่น่าสนใจ คือ

 1. หุ้นที่ป้องกันเงินเฟ้อได้ และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น แนะนำ PTTEP, PTTGC, BBL

 2. หุ้นเปิดเมืองรับการผ่อนคลายต่างชาติเข้าประเทศง่ายขึ้นและการเตรียมปรับ COVID-19 เป็นโรคประจำถิ่นแนะนำ MINT และ

 3. หุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เด่น AP, BCH, SPVI 

ด้านแนวรับสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1,660 - 1,670 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1,640 จุด และ 1,620 จุด ตามลำดับ และแนวต้านสำคัญ อยู่ที่ 1,700 - 1,705 จุด และแนวต้านต่อไปคือ 1,720 - 1,730 จุด และ 1750 จุด ตามลำดับ

มุมมอง บลจ.เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์

ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ กล่าวว่า จากการสำรวจการคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการงวด 1Q65 ของ Consensus จำแนกออกมาได้ดังนี้

1. กลุ่มหุ้นที่จะมีการรายงานผลประกอบการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 1Q64(+YoY)และ เติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาส 4Q64 (+QoQ) ประกอบไปด้วย

  • กลุ่มธนาคารฯ BBL KBANK KTB BAY SCB TISCO KKP TTB 
  • กลุ่มปิโตรเคมี IVL GGC 
  • กลุ่มค้าปลีก CPALL GLOBAL MAKRO 
  • กลุ่มเทคโนโลยี HUMAN 
  • กลุ่มพลังงาน BAFS BANPU BCP ESSO PTT PTTEP SPRC TOP GULF EGCO BPP BCPG ACE 
  • กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ DELTA 
  • กลุ่มการเงิน JMT TIDLOR KTC BAM CHAYO 
  • กลุ่มเกษตร GFPT TACC 
  • กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม OSP RBF 
  • กลุ่มโรงพยาบาล BDMS BH IMH 
  • กลุ่มบันเทิง MAJOR 
  • กลุ่มอสังหาฯ PSH ORI ALL 
  • กลุ่มขนส่ง AAV AOT LEO 
  • กลุ่มสื่อสาร INTUCH 
  • กลุ่มยานยนต์ SAT 
  • กลุ่มบริการ SISB 
  • กลุ่มวัสดุก่อสร้าง EPG 
  • กลุ่มประกัน BLA THRE THREL TQM 
  • กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค IP 
  • กลุ่ม MAI SMD

2. กลุ่มหุ้นที่จะมีการรายงานผลประกอบการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 1Q64 (+YoY) แต่หดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 4Q64 (-QoQ) ประกอบไปด้วย

  • กลุ่มค้าปลีก COM7 HMPRO BJC CRC 
  • กลุ่มการเงิน THANI 
  • กลุ่มพลังงาน UBE CKP 
  • กลุ่มอาหาร M MINT SUN ZEN 
  • กลุ่มโรงพยาบาล BCH CHG EKH LPH 
  • กลุ่มบันเทิง BEC PLANB 
  • กลุ่มนิคมฯ AMATA WHA 
  • กลุ่มอสังหาฯ LH QH SPALI AWC 
  • กลุ่มสื่อสาร ADVANC JMART 
  • กลุ่มโรงแรม ERW CENTEL SHR 
  • กลุ่มขนส่ง AMA 
  • กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค SMPC 
  • กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ KCE 
  • กลุ่ม MAI SPA IIG

3. กลุ่มหุ้นที่จะมีการรายงานผลประกอบการหดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 1Q64 (-YoY) แต่เติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาส 4Q64 (+QoQ) ประกอบไปด้วย

  • กลุ่มปิโตรเคมี PTTGC 
  • กลุ่มค้าปลีก DOHOMEOR RS 
  • กลุ่มพลังงาน IRPC RATCH
  • กลุ่มการเงิน SAWAD MTC 
  • กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม CBG 
  • กลุ่มบันเทิง VGI 
  • กลุ่มอสังหา ANAN AP LPN 
  • กลุ่มขนส่ง BEM KEX 
  • กลุ่มสื่อสาร DTAC THCOM 
  • กลุ่มยานยนต์ AH STANLY 
  • กลุ่มวัสดุก่อสร้าง SCC SCCC DCC 
  • กลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC 
  • กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค KISS

4. กลุ่มหุ้นที่จะมีการรายงานผลประกอบการ หดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 1Q64 (-YoY) และหดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 4Q64 (-QoQ) ประกอบไปด้วย

  • กลุ่มโรงไฟฟ้า BGRIM 
  • กลุ่มพลังงาน PTG 
  • กลุ่มอาหาร CPF TU 
  • กลุ่มบรรจุภัณฑ์ SCGP 
  • กลุ่มสิ่งพิมพ์ UTP 
  • กลุ่มขนส่ง BTS 
  • กลุ่มสื่อสาร TRUE 
  • กลุ่มบันเทิง JKN 
  • กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค STGT TSR 
  • กลุ่มเกษตร STA 
  • กลุ่ม MAI NETBAY TNP XO

มุมมอง บล.บัวหลวง

บทวิเคราะห์ของหลักทรัพย์บัวหลวง คาดการณ์ว่า กำไรไตรมาส 1ปี 65 จะเห็นการเติบโตเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนหนุนจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและกิจกรรมทางธุรกิจที่ทยอยฟื้นตัวหลังคลายข้อจำกัดต่างๆที่เกี่ยวกับโควิด-19 บนสมมติฐานที่อัตราการติดเชื้อ และเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลหลังจากเทศกาลสงกรานต์ไม่ได้สูงขึ้นมากและสงครามรัสเซีย - ยูเครนไม่ได้ทวีความรุนแรง 

คาดจะเห็นการเติบโตของกำไรหลักเมื่อเทียบกับปีก่อนอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 2ปี 65 ทั้งนี้ผลประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะหุ้นที่ยังมีราคาถูก และ/หรือปรับตัวได้ช้ากว่าตลาด (เทียบกับช่วงก่อนโควิด-19)

สำหรับกำไรสุทธิรวมไตรมาส 1 ปี 65 คาดว่าหุ้นใน SET จะรายงานกำไรสุทธิรวมไตรมาส 1 ปี 65 ที่เติบโต 6% เมื่อเทียบกับปีก่อนขณะที่คาดกำไรหลักจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 26% เมื่อเทียบกับปีก่อนและ 11% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนโดยกลุ่มที่มีแนวโน้มจะรายงานการเติบโตของกำไรหลักเมื่อเทียบกับปีก่อนเกิน 30% ได้แก่กลุ่มการแพทย์ (รายได้ที่เกี่ยวกับโควิด-19 และการเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่มากขึ้น

ด้าน“กลุ่มการแพทย์” น่าจะเป็น Safe-Haven สําหรับช่วงสงครามรัสเซีย – ยูเครนและเงินเฟ้อสูง (สาเหตุจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น) BDMS และ BH จะเป็นผู้นํากลุ่มในการปรับตัวขึ้นจากภาพการฟื้นตัวของธุรกิจที่แข็งแกร่ง (หนุนจากผู้ป่วยต่างประเทศ) ขณะที่ BCH และ CHG จะเป็นผู้เล่นลําดับที่ 2  ซึ่งทั้ง 2 บริษัทมีการรายงานกําไรที่แข็งแกร่งในช่วงยุคโควิด-19

สำหรับปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามต่อ คือ

1. โมเมนตัมเศรษฐกิจที่อ่อนแอ (ทั่วโลกและประเทศไทย) 
2. ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงแรง 
3. ความตึงเครียดทางการเมือง

ติดต่อโฆษณา!