02 กุมภาพันธ์ 2565
1,552

PTTEP เผยกำไรปี 64 โต 71% ทะลุ 3.8 หมื่นล้านบาท! คาดราคาน้ำมันไปต่อ จากสถานการณ์ตึงเครียดรัสเซีย-ยูเครน

PTTEP เผยกำไรปี 64 โต 71% ทะลุ 3.8 หมื่นล้านบาท! คาดราคาน้ำมันไปต่อ จากสถานการณ์ตึงเครียดรัสเซีย-ยูเครน
Highlight

บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP รายงานผลประกอบการ ผลประกอบการปี 64 มีกำไร 38,863.59 ล้านบาท หรือ 9.70 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 71% จากปี 63 ที่มีกำไร 22,664.01 ล้านบาท หรือ 5.65 บาท/หุ้น และคาดว่าแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปี 2565 และภาพรวมทั้งปี ตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันในปีนี้จะปรับเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด สำนักข่าวรอยเตอร์สได้เปิดเผยผลสำรวจเมื่อ 31 มกราคมที่ป่านมาคาเว่าราคาน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง


นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ผลประกอบการปี 64 มีกำไร 38,863.59 ล้านบาท หรือ 9.70 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 71% จากปี 63 ที่มีกำไร 22,664.01 ล้านบาท หรือ 5.65 บาท/หุ้น

ทั้งนี้ PTTEP ได้แจ้งผลการดำเนินงาน เป็นหน่วยเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯด้วยดังนี้ ปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,211 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 491 ล้านดอลลาร์ หรือ 68%เมื่อเปรียบเทียบกับปี 63 ที่มีกำไรสุทธิ 720 ล้านดอลลาร์ 

ส่วนใหญ่จากรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 1,688 ล้านดอลลาร์ โดยหลักเป็นรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณการขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 18% ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 12%

นอกจากนี้มีการรับรู้กำไรจากการซื้อธุรกิจในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของโครงการโอมาน แปลง 61 สุทธิกับการรับรู้ขาดทุนจากเครื่องมือทางการเงิน รวมถึงค่าใช้จ่ายในการสำรวจปิโตรเลียมและขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่ ไตรมาส 4/64 บริษัทมีกำไรสุทธิ 321 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 296% จากช่วงเดียวกันปี 2563 ที่มีกำไร 81 ล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่จากรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าเสื่อมราคา ค่าสูญสิ้นและค่าตัดจำหน่าย รวมถึงขาดทุนจากเครื่องมือทางการเงินลดลง สุทธิกับขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์เพิ่มขึ้น

PTTEP รายงานด้วยว่าคณะกรรมการบริษัท มีมติจ่ายปันผล ประจำปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 5.00 บาท และให้นำเสนอขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ต่อไป ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเงินปันผล ระหว่างกาลสำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 ไปแล้วในอัตราหุ้นละ 2.00 บาท จึงยังคงต้องจ่ายที่เหลืออีกในอัตราหุ้นละ 3.00 บาท โดยกำหนดให้วันที่ 11 ก.พ.65 เป็นวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) ในการรับเงินปันผล และจะจ่ายเงินปันผลที่อัตรา 3.00 บาทต่อหุ้น ในวันที่ 18 เม.ย.65

สำหรับแนวโน้มธุรกิจของ PTTEP ในปี 2565 บริษัทฯ คาดการณ์ปริมาณการขายเฉลี่ยสำหรับไตรมาส 1/65 และทั้งปี 2565 ที่ประมาณ 436 และ 467 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ตามลำดับ เติบโตจากปี 2564 จากการรับรู้ยอดขายเต็มปีเป็นปีแรกของโครงการมาเลเซียแปลงเอชและโครงการโอมานแปลง 61รวมถึงการเริ่มผลิตปิโตรเลียมของโครงการจี 1/61 และโครงการ แอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตในช่วงต้นปี 2565 ด้วย

ด้านราคาขาย คาดว่าราคาน้ำมันดิบของบริษัทจะผันแปรตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ส่วนราคาก๊าซธรรมชาติ ส่วนหนึ่งผูกกับราคาน้ำมันย้อนหลังประมาณ 6-24เดือน บริษัทคาดว่าราคาขายก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยสำหรับไตรมาส 1/65 และทั้งปี 2565 จะอยู่ที่ประมาณ 6.0 และ 5.9 ดอลลาร์/ล้านบีทียูตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเป็นผลจากการปรับราคาย้อนหลัง

สำหรับไตรมาส 1/65 และทั้งปี 2565 คาดว่าจะสามารถรักษาต้นทุนต่อหน่วยได้ที่ประมาณ 27-28 ดอลลาร์/ บาร์เรล ลดลงจากปีก่อนหน้าจากการบริหารจัดการต้นทุน และการรับรู้ยอดขายเต็มปีเป็นปีแรกของโครงการมาเลเซีย แปลงเอชและโครงการโอมาน แปลง 61 รวมถึงการเริ่มผลิตของโครงการจี 1/61 และ จี 2/61 ในปี 65 พร้อมประเมิน EBITDA margin ปี 65 ที่ 70-75%

นอกจากนี้ PTTEP ได้ประเมินทิศทางราคาน้ำมัน ในปี 2565 ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนและเดลต้าในช่วงปลายปี 2564 น่าจะยังคงส่งผลต่อเนื่องและกระทบตลาดน้ำมันดิบในปีนี้ โดย อุปสงค์น้ำมันดิบในไตรมาส 1/65 มีแนวโน้มลดลงกว่า 230,000 บาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ดี อุปสงค์ตลอดปี 2565โดยรวมยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง และคาดว่าจะสามารถปรับขึ้นเหนือระดับก่อนการระบาดที่ 100 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ในด้านอุปทาน คาดว่ากลุ่มโอเปกพลัส จะยังคงทยอยปรับเพิ่มการผลิตในอัตราเดือนละ 400,000 บาร์เรลต่อวัน ไปจนถึงเดือน ก.ย.65 ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 65-85 ดอลลาร์/บาร์เรล

สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจเมื่อ 31 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา บ่งชี้ว่า ราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในปีนี้ เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงด้านการเมืองจะส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำมัน และความต้องการใช้น้ำมันฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบของโรคโควิด-19 ได้ผ่อนคลายลง

ผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ 46 รายคาดว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) จะอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 79.16 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีนี้ ซึ่งเป็นการคาดการณ์ที่ระดับสูงสุดสำหรับปีนี้ และเพิ่มขึ้นอย่างมากจากระดับคาดการณ์ในเดือนธ.ค.ที่ 73.57 ดอลลาร์

ส่วนราคาน้ำมันดิบสหรัฐนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 76.23 ดอลลาร์ในปีนี้ เทียบกับระดับ 71.38 ดอลลาร์ที่คาดไว้ในเดือนก่อน

อีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต (Economist Intelligence Unit - EIU) หน่วยงานวิเคราะห์เศรษฐกิจระบุว่า เมื่อพิจารณาจากภาวะตลาดที่ตึงตัว ราคาน้ำมันสามารถทะยานขึ้นเหนือระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากการเพิ่มปริมาณน้ำมันของกลุ่มโอเปกพลัสยังคงต่ำกว่าเป้าหมาย  ผู้ผลิตสหรัฐไม่สามารถเพิ่มการผลิต หรือหากวิกฤตยูเครน-รัสเซียเลวร้ายลง

ติดต่อโฆษณา!