16 กรกฎาคม 2561
1,472

ทันข่าวสุขภาพ | หัวใจเต้นผิดจังหวะ

ทันข่าวสุขภาพ | หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาการใจสั่น หน้ามืด เจ็บหน้าอก อ่อนเพลียแล้วก็เป็นลมหมดสติ ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ต้องระวังว่า คุณหรือคนที่คุณพบเจอกำลังมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะก็เป็นได้

ลักษณะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

โดยปกติหัวใจเราจะเต้นประมาณ 60 – 100 ครั้ง / นาที แต่ถ้าหัวใจเต้นผิดไปจากนี้คือไม่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ โดยอาจเต้นเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป หรือบางครั้งอาจเต้นแล้วเว้นจังหวะ ลักษณะแบบนี้ถือว่าผิดปกติ เราจึงเรียกว่ามีอาการของโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ

อาการ

ผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ จะมีอาการวิงเวียนหน้ามืด ใจสั่น หายใจขัด เจ็บแน่นบริเวณหน้าอกและเป็นลมหมดสติ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะมักไม่ทราบว่าตนเองมีปัญหา ซึ่งจะมาพบว่าตนเองเป็นโรคนี้ส่วนใหญ่ก็เพราะมาตรวจสุขภาพประจำปีหรือมาด้วยโรคอื่นก่อน

สาเหตุ

ปัจจัยภายนอกได้แก่ ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต การดื่มเหล้าสูบบุหรี่ สภาพแวดล้อม สภาพอากาศที่ร้อนจัด ความเครียด การทำงานหนักแล้วพักผ่อนไม่เพียงพอ

ปัจจัยภายในก็ได้แก่ เรื่องของอายุ เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายก็เสื่อมลง โรคประจำตัวที่เป็นอย่างเช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ ความดันโลหิตสูง การสูญเสียเกลือแร่มากเกินไป ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์เ ป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เป็นโรคนี้ได้

การตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ

บางกรณีถ้าผู้ป่วยมีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะอยู่ในขณะนั้น หมอก็จะสามารถรู้ได้เลยทันที แต่ในบางรายอาจไม่มีอาการขณะที่หมอตรวจ หมอก็จะมีการส่งตรวจเพิ่มเติมด้วยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) กรณียังไม่พบโรคที่ชัดเจน เราอาจตรวจละเอียดโดยใช้การติดเครื่องบันทึกคลื่นหัวใจไว้ที่ตัวผู้ป่วยเป็นเวลา 24 ชั่วโมง(Holter monitor) เพื่อดูความผิดปกติของกราฟหัวใจ เครื่องนี้คนไข้สามารถใส่แล้วนำกลับบ้านได้ Event / Loop Recorder หรืออาจจะใช้วิธีการตรวจแบบใหม่ที่เรียกว่า EP Study (Electrophysiology Study) ซึ่งเป็นการวินิจฉัยหาความผิดปกติของระบบไฟฟ้าหัวใจ ซึ่งการวินิจฉัยวิธีนี้จะช่วยหาตำแหน่งของการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่แม่นยำมากขึ้น ทำให้หมอสามารถกำหนดแนวทางการรักษาได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วย

วิธีรักษา

แพทย์จะพิจารณาตามสาเหตุ อาการ และความรุนแรงของโรค โดยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดอาจไม่ต้องทำการรักษา แต่ในชนิดที่ต้องทำการรักษาก็จะมีทางเลือกในการรักษาหลายวิธี ซึ่งแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย เช่น การใช้ยา การใช้ไฟฟ้ากระตุกเพื่อปรับการเต้นของหัวใจ การใช้สายสวนเพื่อจี้วงจรนำไฟฟ้าที่ผิดปกติ การฝังเครื่องกระตุ้นกระตุกหัวใจ

ทั้งนี้ สิ่งที่ดีที่สุดไม่ใช่การรักษาโรค แต่ควรเป็นการป้องกันการเกิดโรค รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหมั่นตรวจสุขภาพประจำปีนะครับ
ติดต่อโฆษณา!