02 ตุลาคม 2564
1,144

เริ่มฉีดไฟเซอร์เด็กอายุ 12-17 ปีเริ่ม 4 ต.ค.นื้ จำนวน 3.6 ล้านราย คิดเป็น 71% ของทั้งหมด 5 ล้านราย ย้ำผู้ปกครองเฝ้าดูอาการเด็กหลังรับวัคซีน

เริ่มฉีดไฟเซอร์เด็กอายุ 12-17 ปีเริ่ม 4 ต.ค.นื้ จำนวน 3.6 ล้านราย คิดเป็น 71% ของทั้งหมด 5 ล้านราย ย้ำผู้ปกครองเฝ้าดูอาการเด็กหลังรับวัคซีน
กระทรวงศึกษาธิการแจ้งตัวเลขนักเรียนทั่วประเทศในฐานข้อมูลจำนวน 5,048,000 ราย โดยขณะนี้ผู้ปกครองแสดงความจำนงให้บุตรหลานฉีดวัคซีนโควิด - 19 จำนวน 3,618,000 กว่าราย คิดเป็นร้อยละ 71  หากเปลี่ยนใจมาขอฉีดทีหลังได้ แพทย์เตือนผู้ปกครองเฝ้าดูอาการเด็กหลังรับวัคซีนใกล้ชิด แม้โอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยก็ตาม ใช้วัคซีนไฟเซอร์ เริ่มฉีดตั้งแต่ 4 ตุลาคม นี้

การจัดสรรวัคชีนไฟเซอร์ล็อตแรก 2 ล้านโดส กระทรวงศึกษาธิการจะกระจายให้ทุกจังหวัด ภายในเดือนตุลาคม และเริ่มฉีดวันที่ 4 ตุลาคมนี้เป็นวันแรก โดยจะมีวัคชีนเข้ามาอีก 8 ล้านโดส ไม่มีระยะเวลาสิ้นสุดของการฉีด เนื่องจากอาจมีผู้แสดงความจำนงขอฉีดเพิ่มก็จะดำเนินการฉีดให้  ไม่ปิดกั้น ไม่เสียสิทธิแต่อย่างใด

.

การฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ยังฉีด 2 เข็ม ระยะห่าง 3-4 สัปดาห์ มีระบบติดตามอาการและความปลอดภัยเหมือนผู้ใหญ่ ส่วนข้อเสนอการฉีดวัคซีนในเด็กผู้ชายเพียงเข็มเดียว จะมีการพิจารณาข้อมูลทางวิชาการ หากมีการปรับเปลี่ยนจะดำเนินการให้ทันก่อนฉีดเข็มที่ 2

.

เตือนผู้ปกครองเฝ้าระวังอาการหลังฉีดวัคซีน

.

นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า  สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในเด็กนักเรียนอายุ 12-17 ปี มีระบบเฝ้าระวังเพื่อความปลอดภัยต่อเนื่องเหมือนผู้ใหญ่ พ่อแม่ไม่ควรกังวล แต่เพื่อให้เกิดความปลอดภัยมั่นใจ ในเรื่องนี้ สธ.และเครือข่ายระบบ รพ. กำลังมีหนังสือแจ้งไปเพิ่มเติมย้ำว่า หลังฉีดวัคซีน หากผู้ปกครองหรือนักเรียนมีอาการผิดปกติมาแจ้ง ให้รีบดูแลตามแนวทางที่ถูกต้องไม่คลาดเคลื่อน

.

การฉีดวัคซีนเด็กในกลุ่มอายุน้อย ใช้วัคซีน mRNA อาจทำให้มี

กล้ามนื้อหัวใจอักเสบได้ แต่อัตราต่ำมาก แต่ก็ต้องเตรียมการให้ดี อาการเฝ้าระวังสำคัญในนักเรียนที่ต้องสังเกต คือ แน่นหน้าอกเจ็บหน้าอก หอบ เหนื่อยงาย ใจสั่น  หมดสติ  เป็นลม  ส่วนการแพ้รุนแรงนั่งสังเกตอาการ 30 นาที

.      

ส่วนอาการอื่นๆต้องติดตาม 30 วันหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 และข้อปฏิบัติภายใน 7 วันหลังฉีด “ไม่แนะนำให้ออกกำลังกายหนัก ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจเหนื่อยจากออกกำลังกาย แต่แยกไม่ได้ว่าเป็นผลจากวัคซีนหรือไม่ ขอให้เฝ้าระวังสังเกตอาการ และแม้มีอาการดังกล่าว แต่ไม่ได้จะเป็นกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ อาจเป็นอย่างอื่นได้

.          

นพ.เฉวตสรร กล่าวด้วยว่า จากการรวบรวมรายชื่อนักเรียนมาจากการแสดงความจำนงของผู้ปกครองที่แจ้งความประสงค์ให้นักเรียน/นักศึกษารับการฉีดวัคซีน มายังร.ร. และส่งให้หน่วยงานสังกัดกระทรวงศึกษาธิการในพื้นที่ ซึ่งมียอดรวมเด็กที่เข้าเกณฑ์รับวัคซีนทั่วประเทศ 5,048,000 คน แจ้งความประสงค์รับวัคซีนกว่า 3 .6 ล้านคน คิดเป็น 71 %  โดยจะฉีดต่อเนื่อง

.

คาดวัคซีนเด็กเข็มที่ 2 รับห่างจากเข็มแรก 3-4 สัปดาห์

.

ทั้งนี้ วัคซีนที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)ให้ฉีดในเด็ก 12 ปีขึ้นไปได้ มี 2 ตัว แต่ที่มีในประเทศไทยขณะนี้ คือ วัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งจากข้อสรุปของอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน ระบุว่า ให้ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3-4 สัปดาห์ ส่วนที่มีข้อมูลวิชาการการลดจำนวนเข็มและการแยกความเสี่ยงระหว่างเพศชายและหญิงนั้น

.  

ขณะนี้ข้อแนะนำเป็นข้อปฏิบัติอยู่แล้วในสหรัฐอเมริกาถือว่ามีความปลอดภัยสูง อย่างไรก็ตาม  หากมีข้อมูลวิชาการเพิ่มเข้ามาก็จะนำมาพิจารณาให้ข้อเสนอแนะต่อไป โดยใครที่มีนัดฉีดวัคซีนแข็มแรกให้ไปฉีดตามนัดก่อน ส่วนเข็มที่ 2  หากมีการปรับเปลี่ยนก็มีจังหวะระยะห่างระหว่างเข็ม 1และ 2 ที่จะประกาศให้ทราบได้ โดยจะก่อนกำหนดฉีดเข็มที่ 2  

.      

“ถ้าเริ่มฉีดในสัปดาห์แรกของ เดือน ต.ค. เข็ม 2 ก็จะได้รับไม่เกินสัปดาห์ที่ 4 แต่หลายพื้นที่อาจไม่ได้ฉีดเข็มที่ 1 เสร็จสิ้นในสัปดาห์เดียว อาจมีเหลื่อมไปสัปดาห์ที่ 2 ก็ให้พื้นที่พิจารณาไม่ให้กระทบเปิดเรียน นอกจากนี้ ไม่ได้มีการกำหนดวันหมดเขตรับวัคซีน  หากผู้ปกครองเปลี่ยนใจแจ้งเจตจำนงให้นักเรียนรับวัคซันในภายหลังก็สามารถดำเนินการได้  ซึ่งหลักๆจะฉีดใน ต.ค. แต่ใครตกหล่น ก็แจ้งขอฉีดภายหลังได้ไม่ได้เสียสิทธิ” นพ.เฉวตสรร กล่าว

 .

นพ.เฉวตสรร กล่าวอีกว่า วัคซีนไฟเซอร์ที่ส่งมอบเข้ามาในประเทศไทยแล้วขณะนี้ 2 ล้านโดส และส่งอีก 8 ล้านโดสภายในเดือนต.ค. ก็จะมีวัคซีนเพียงพอรองรับให้กับนักเรียนที่แจ้งเจตจำนงในการฉีด ส่วนวัคซีนล็อตแรกที่เข้ามาแล้วนั้นจะมีการกระจายไปในทุกจังหวัด ตามจำนวนที่จังหวัดแจ้งยอดเข้ามาจนครบภายในเดือนต.ค. แต่จะเป็นการทยอยจัดสรร และในการคิกออฟเริ่มฉีดในวันที่ 4 ต.ค.พร้อมกันทั่วประเทศ แต่บางจังหวัดที่อาจจะไม่ได้มีความพร้อมก็อาจจะเริ่มในวันที่ 5 ต.ค.ก็ได้ขึ้นกับการบริหารของแต่ละพื้นที่

 

อ้างอิง :  https://fb.watch/8mNW3i0r0c/  Bangkokbiznews

ติดต่อโฆษณา!