สี จิ้นผิง ผงาดประธานาธิบดีจีน สมัยที่ 3 ครองตำแหน่งอีก 5 ปี

สี จิ้นผิง ผงาดประธานาธิบดีจีน สมัยที่ 3 ครองตำแหน่งอีก 5 ปี
Highlight

พรรคคอมมิวนิสต์ของจีนเลือก สี จิ้งผิง ในวัย 69 ปี ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของจีนอีก 5 ปี เป็นสมัยที่ 3 ซึ่งว่ากันว่าเป็นผู้นำที่ทรงอำนาจที่สุดของจีนตั้งแต่สมัยของเหมา เจ๋อตุงในยุค 1970 และยังควบอีก 2 ตำแหน่งสำคัญคือ เลขาธิการผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน ประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง ซึ่งเป็นบัญชาการกองกำลังติดอาวุธของประเทศ สี จิ้นผิงจะเป็นผู้นำเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ที่มีปัญหาหนักหน่วงรอแก้ไข และบัญชาการกองทัพที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกต่อไป



20221017-a-01.jpg
20221017-a-02.jpg

คาดกันว่า พรรคคอมมิวนิสต์ของจีนจะมอบให้ นายสี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่งประธานาธบดีไปอีก 5 ปี เป็นสมัยที่ 3 นับว่าป็นผู้นำที่ทรงอำนาจที่สุดของจีนตั้งแต่สมัยของเหมา เจ๋อตุงในยุค 1970

การตัดสินใจนี้มีขึ้นหลังจากกฎที่จำกัดการดำรงตำแหน่งเพียง 2 วาระได้ถูกยกเลิกไปในปี 2018 ซึ่งจะทำให้เขากระชับอำนาจในมือภายในประเทศได้มากยิ่งขึ้น

มีความเป็นไปได้ที่ สี จิ้งผิง ในวัย 69 ปีนั้นจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไปชั่วชีวิตของเขา

ประวัติศาสตร์บทใหม่กำลังจะเริ่มขึ้นในการประชุมสมัชชาของพรรคคอมมิวนิสต์ที่จัดขึ้นในกรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมานาน 1 สัปดาห์นับจากนี้ ซึ่งจะถือเป็นหนึ่งในการประชุมครั้งสำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์พรรค

3 ตำแหน่งสำคัญปัจจุบันของ สี จิ้นผิง

เลขาธิการ ซึ่งเขาถือเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน

ประธานาธิบดี ผู้นำของรัฐบาลจีน

ประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง ซึ่งเขาบัญชาการกองกำลังติดอาวุธของประเทศ

เขายังเป็นรู้จักในตำแหน่ง ท่านผู้นำคนสำคัญ หรือ ท่านผู้นำสูงสุด อีกด้วย คาดการณ์ว่าในการประชุมสมัชชาครั้งนี้ ซึ่งจัดขึ้นทุก 5 ปี สี จิ้นผิง จะยังดำรง 2 ตำแหน่งคือ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ และ ประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง และในส่วนตำแหน่งประธานาธิบดีจะถูกประกาศในการประชุมสมัชชาประจำปีของสภาประชาชนแห่งชาติในฤดูใบไม้ผลิ ปี 2023

ซึ่งว่ากันว่า สี จิ้นผิง เป็นผู้นำที่ทรงอำนาจที่สุดของจีนตั้งแต่สมัยของ เหมา เจ๋อตุง และ เติ้ง เสี่ยวผิง

ทำไมการประชุมครั้งนี้ถึงสำคัญ

สี จิ้นผิง จะเป็นผู้นำเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และบัญชาการกองทัพที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกต่อไป

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า สี จิ้นผิง น่าจะทำให้จีนมีจุดยืนทางการเมืองเป็นเผด็จการมากขึ้นในการดำรงตำแหน่งอีก 5 ปีในวาระที่ 3 ของเขา

"จีนภายใต้การปกครองของสี จิ้นผิง จะไปในทิศทางการเป็นเผด็จการมากขึ้น" ศาสตราจารย์ สตีฟ จาง แห่งวิทยาลัยบูรพคดีศึกษาและการศึกษาแอฟริกา มหาวิทยาลัยลอนดอน (SOAS) กล่าว

"จีนภายใต้ประธานเหมาเป็นระบอบเผด็จการ ตอนนี้จีนยังไม่ใช่ระบอบนั้น แต่ก็กำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางนั้น"

ความท้าทายของเศรษฐกิจจีน

เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาแต่ปัจจุบันกำลังเผชิญการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงจากการล็อกดาวน์ป้องกันโควิด ทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น และเกิดวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ครั้งใหญ่ความกลัวที่เพิ่มขึ้นในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกหลังเกิดสงครามในยูเครนได้ทำลายความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจจีนเช่นกัน การเติบโตทางเศรษฐกิจภายใต้การนำของนาย สี จิ้นผิง นั้นต่ำกว่าภายใต้ประธานาธิบดีคนก่อน คือ เจียง เจ๋อหมิน และ หู จิ่นเทา

เศรษฐกิจจีนกำลังชะลอตัวลง จากผลพวงการบังคับใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ที่เข้มงวด ประกอบกับอุปสงค์โลกที่ลดต่ำลง

ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 3 จะเปิดเผยออกมาในสัปดาห์หน้า ซึ่งหากผลออกมาว่าเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงจริง ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยได้

รัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 5.5% แต่จากสถานการณ์ในปัจจุบัน ดูจะเป็นไปได้ยากในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์หลายคน แม้ว่าจีนจะหลีกเลี่ยงภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจได้สำเร็จในไตรมาสเดือน เม.ย. ถึง มิ.ย. ก็ตาม

แม้จีนจะยังไม่ต้องสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูง เหมือนในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร แต่จีนก็เผชิญปัญหาอื่นมากมาย อาทิ โรงงานต่าง ๆ มีลูกค้าที่เข้ามาซื้อผลิตภัณฑ์ลดลงทั้งลูกค้าจากในและต่างประเทศ ขณะที่ความตึงเครียดระหว่างจีนและมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอื่น ๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ก็กระทบต่อภาพลักษณ์เศรษฐกิจจีนเช่นกัน

เงินหยวนในเวลานี้ กำลังค่อย ๆ อ่อนตัวลง ใกล้ถึงจุดต่ำสุดในรอบหลายสิบปี เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งค่าเงินหยวนที่ลดต่ำ ทำให้นักลงทุนวิตก และสร้างความไม่แน่นอนในตลาดเงิน อีกทั้งยังทำให้ธนาคารกลางจีนอัดฉีดเงินเข้าเศรษฐกิจได้ลำบาก

การกวาดล้างบริษัทด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในจีน ที่ดำเนินมานานกว่า 2 ปีแล้ว ส่งผลให้บริษัทอย่าง เทนเซนต์ และ อาลีบาบา รายงานตัวเลขรายได้ที่ลดลงเป็นครั้งแรกในช่วงหลายไตรมาส โดย เทนเซนต์ มีกำไรลดลงถึง 50% ขณะที่ อาลีบาบา รายได้สุทธิลดลงครึ่งหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ ส่งผลให้พนักงานคนรุ่นใหม่หลายหมื่นคนต้องตกงาน ซ้ำเติมวิกฤตแรงงานที่ปัจจุบัน ประชากรอายุระหว่าง 16-24 ปี ว่างงานในอัตรา 1 ต่อ 5 ซึ่งจะกระทบต่อผลิตภาพและอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในระยะยาวได้

ในขณะที่รัฐบาลจีนเข้มงวดกับบริษัทภาคเอกชนมากขึ้น แต่ดูจะเอื้อประโยชน์ให้รัฐวิสาหกิจ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติถอนทุนกลับ

ยกตัวอย่าง ซอฟต์แบงก์ ของญี่ปุ่น ที่ถอนเงินลงทุนมหาศาลออกจากบริษัท อาลีบาบา ขณะที่บริษัท เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ ของมหาเศรษฐี วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ขายหุ้นในบริษัทผู้ผลิตรถไฟฟ้าจีน บีวายดี ออกไปเช่นกัน ส่วนเทนเซนต์ สูญเงินลงทุนคิดเป็นเงินกว่า 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากนักลงทุนที่ถอนทุนออกในช่วงครึ่งแรกของปีนี้

รัฐบาลสหรัฐฯ เอง ก็เข้มงวดกับบริษัทจีนที่มีรายชื่ออยู่ในตลาดหลักทรัพย์อเมริกันหลายแห่งด้วย

“การตัดสินใจด้านการลงทุนถูกเลื่อนออกไป บริษัทต่าง ๆ มุ่งขยายการผลิตในประเทศอื่นแทน” เอสแอนด์พี โกลบอล เรตติงส์ กล่าวเมื่อไม่นานมานี้ และเมื่อโลกเริ่มคุ้นชินกับข้อเท็จจริงว่า จีนจะยังไม่เปิดประเทศ และกลับไปดำเนินธุรกิจแบบสมัยก่อนโควิดในอีกเร็ว ๆ นี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อาจเสี่ยงกับการสูญเสียภาพลักษณ์ความสำเร็จทางเศรษฐกิจ ที่ขับเคลื่อนจีนมานานหลายทศวรรษ

สถานการณ์เหล่านี้ เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองสำคัญของจีน ห้วงเวลาที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน เตรียมขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นครั้งที่ 3 ในการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่จะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 16 ต.ค.

ลำดับในการประชุมสมัชชาใหญ่

วันที่สอง (17 ต.ค.) ของการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 ในกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีน สมาชิกสภาแห่งชาติจีน 2,300 คน รวมตัวกันที่ "ห้องโถงใหญ่ของประชาชน" ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินตั้งแต่ 16 ต.ค. เป็นเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์

มีการคัดเลือกสมาชิกประมาณ 200 คนเพื่อร่วมเป็นสมาชิกคณะกรรมการกลาง พร้อมด้วยสมาชิกสำรองอีกประมาณ 170 คน และสมาชิกคณะกรรมการกลางจะเลือก 25 คนเพื่อดำรงตำแหน่งสมาชิกกรรมการกรมการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์ (Politburo)

สมาชิกคณะกรรมการกรมการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จะเลือกคณะกรรมการกรมการเมือง (Politburo standing committee) ที่ถือว่าเป็นผู้นำสูงสุดซึ่งกุมอำนาจของเหล่าผู้มีอำนาจ ในปัจจุบันนั้นมีคณะกรรมการกรมการเมือง 7 คน รวมถึง สี จิ้นผิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ทั้งหมดล้วนเป็นเพศชาย

คาดกันว่า พรรคคอมมิวนิสต์ของจีนจะมอบให้ นายสี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่งประธานาธบดีไปอีก 5 ปี เป็นสมัยที่ 3 นับว่าป็นผู้นำที่ทรงอำนาจที่สุดของจีนตั้งแต่สมัยของเหมา เจ๋อตุงในยุค 1970

ไต้หวันและชาติตะวันตก

นาย สี จิ้นผิง นิยมดำเนินนโยบายตามแนวทางความสัมพันธ์แบบสายแข็งกับชาติตะวันตก โดยเฉพาะในประเด็นของไต้หวัน

การมาเยือนไต้หวันของประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกาเมื่อ ส.ค. ที่ผ่านมา กระตุ้นให้จีนเริ่มการซ้อมรบทางทหาร รวมทั้งการยิงขีปนาวุธจริงรอบเกาะไต้หวัน

จีนมองว่าไต้หวันเป็นจังหวัดที่แตกแยกออกมาแต่จะกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของปักกิ่งในที่สุด ส่วนไต้หวันมองว่าตัวเองแตกต่างจากจีนแผ่นดินใหญ่

นายสี กล่าวว่า "การรวมชาติ" กับไต้หวัน "จะต้องสำเร็จ" ภายในปี 2049 ซึ่งเป็นปีครบรอบหนึ่งศตวรรษของสาธารณรัฐประชาชนจีน และยังไม่ได้ตัดตัวเลือกการใช้กำลังเพื่อให้บรรลุสิ่งนี้

ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงกล่าวว่าการเข้ายึดครองไต้หวันของจีนจะทำลายฐานอำนาจของสหรัฐฯ ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกและที่อื่น ๆ

ไต้หวันมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างใหญ่หลวงต่อชาติตะวันตก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า "แนวสายโซ่แห่งดินแดนวงล้อมชั้นแรก" (first island chain) ซึ่งรวมถึงดินแดนอื่น ๆ ที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ มานานหลายทศวรรษ

ที่มา : BBC

ติดต่อโฆษณา!