12 พฤษภาคม 2565
1,504

เงินเฟ้อสหรัฐสูงกว่าคาด ตลาดผวาดอกเบี้ยปรับเร็ว และแรง!

เงินเฟ้อสหรัฐสูงกว่าคาด ตลาดผวาดอกเบี้ยปรับเร็ว และแรง!
Highlight

ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงตามคาดหลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุด สูงกว่าตลาดคาดการณ์ไว้ และคาดว่าสหรัฐอาจต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงกว่าที่คาดไว้ รวมทั้งการลดวงเงินงบดุลเพื่อหยุดยั้งเงินเฟ้อ ดังนั้นจึงมีการปรับพอร์ตลงทุนขนานใหญ่ทิ้งสินทรัพย์เสี่ยง เข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย เพื่อรอดูสถานการณ์ นอกจากนี้การระบาดโควิด-19 แม้ลดลงแต่ยังวางใจไม่ได้ ส่วนสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังคงเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นอีกด้วย


ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ (CPI) แจ้งออกมา 8.3% สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าธนาคารกลาง หรือ FED อาจต้องขึ้นดอกเบี้ยขึ้นเร็วขึ้น หรือเพิ่มมากขึ้นจาก 0.5% เป็นรวดเดียว 0.75% ด้านสินทรัพย์เสี่ยงโดนเทขายหนัก โดยตลาด Nasdaq กลับตัว -3% Bitcoin ร่วงหลุด 30,000 เหรียญเมื่อคืนที่ผ่านมา ก่อนปรับตัวขึ้นเล็กน้อย

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 8.3% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 8.1% แต่ต่ำกว่าระดับ 8.5% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2524

ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 6.2% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.0% แต่ต่ำกว่าระดับ 6.5% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2525

ส่งผลให้ Bond Yield ดีดกลับไปเกิน 3% อีกครั้งอยู่ที่ 3.03% และกดดันทุกสินทรัพย์เสียงโดยเฉพาะหุ้นเทคในตลาด Nasdaq ที่เทรดอยู่ที่ +1.5% ก็กลับตัวลงมาเป็นลบ -1.5% ทันที และทางด้าน Bitcoin ที่กำลังมีความสัมพันธ์กับหุ้นเทคสูงก็ร่วงหลุดระดับแนวรับที่สำคัญที่ 30,000 เหรียญด้วยเช่นกัน 

รายงานตัวเลขเงินเฟ้อครั้งนี้ทำให้นักลงทุนคาดว่า FED อาจต้องคิดเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย +0.75% ในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนมิ.ย. แม้ทาง Jerome Powell ประธาน Fed บอกว่า FED ยังไม่ได้คิดจะพิจารณาเรื่องนี้ก็ตาม

ตลาดหุ้นเอเชียเปิดร่วงลงตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 5 ในวันพุธ (11 พ.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อสูงกว่าคาด ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าอาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ Fed เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 25,945.04 จุด ลดลง 268.6 จุด หรือ -1.02% 

ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 19,556.89 จุด ลดลง 267.68 จุด หรือ -1.35% และ

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,044.80 จุด ลดลง 13.9 จุด หรือ -0.45%

วิล คอมเพอร์นอลล์ นักวิเคราะห์จากบริษัทเอฟเอชเอ็น ไฟแนนเชียลกล่าวว่า ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐพุ่งขึ้นรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะเปิดทางให้เฟดใช้เป็นเหตุผลในการปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นและรุนแรงขึ้น โดยก่อนหน้านี้เฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนมิ.ย. แต่ตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วอาจทำให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงถึง 0.75% ในการประชุมเดือนดังกล่าว

นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่พุ่งขึ้นเหนือระดับ 3% เมื่อคืนนี้ หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อสูงกว่าคาด โดยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น จะทำให้บริษัทต่างๆเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจในภูมิภาคที่จะรายงานวันนี้ได้แก่ ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนมี.ค. ของญี่ปุ่น, ยอดขายรถและยอดปล่อยกู้ล็อตใหม่สกุลเงินหยวนเดือนเม.ย. ของจีน

20220512-a-01.jpg

หุ้นไทยร่วงตามภูมิภาค

ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงตามตลาดภูมิภาคในเช้าวันนี้ (12 พ.ค.) ร่วงต่ำกว่า 1,600 จุด โดยเมื่อเวลา 10.35 น. ดัชนีหุ้นหุ้นไทยอยู่ที่ 1,597.20 จุด ลดลง 16.14 จุด หรือ -1.00% มูลค่าการซื้อขาย 22,300 ล้านบาท

บล.เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) คาดดัชนีฯ มีโอกาสปรับตัวลดลง นักลงทุนยังกังวลเงินเฟ้อสหรัฐฯที่สูงกว่าคาด ตัวแปรหลักอื่นๆ ของตลาดยังเป็นลบ

สถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย ยังอยู่ในโทนลบ ประเทศต่าง ๆ ยังมีการ Sanction รัสเซียต่อเนื่อง เริ่มมีการปิดเส้นทางท่อส่งแก๊ส เรามองว่าสถานการณ์นี้จะส่งผลทำให้ราคาน้ำมันเผชิญกับความตึงตัว และไปดันเงินเฟ้อให้เพิ่มขึ้น กระทบต่อตลาดหุ้น

จีนเริ่มมีการเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เรายังมองเรื่องนี้เป็นลบ เนื่องจากภาคเศรษฐกิจของจีนมีความเสียหายอย่างมาก การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจจะทำได้ช้าลง

จับตาดูการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐ ของนายกฯ ว่าจะมีการแสดงจุดยืนอย่างไรในเรื่องของสถานการณ์ยูเครน ซึ่งอาจจะส่งผลมาถึงไทยอย่างมีนัยยะ

การอ่อนค่าของเงินบาท (ล่าสุดเช้านี้ 34.64) ส่งผลให้หุ้นส่งออกอาจจะได้อานิงสงค์จากเรื่องนี้ แต่ไม่มากนัก จากสถานการณ์โดยรวมที่กดดันตลาด

บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์รายงานงบการเงินหรือผลประกอบการ Q1/65  แล้วจำนวน 180 บริษัท มีกำไรสุทธิ SET อยู่ที่ 1.35 แสนล้านบาท -7.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  และ +8.6% จากไตรมาส 4/64 

ค่าเงินบาทเปิด 34.71 อ่อนค่าตามภูมิภาค ตลาดกังวล Fed เร่งขึ้นดอกเบี้ย

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ (12 พ.ค.) อยู่ที่ระดับ 34.71 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากเย็นวานนี้ที่ปิดตลาดที่ระดับ 34.63 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ตามทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 34.55 – 34.75 บาท/ดอลลาร์

เงินเยนอยู่ที่ระดับ 129.76 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 129.73 เยน/ดอลลาร์

เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.0523 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 1.0558 ดอลลาร์/ยูโร

เนื่องจากเมื่อคืนนี้ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐ เดือนเม.ย.ออกมาที่ 8.3% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ทำให้ตลาดยิ่งเริ่มกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed

20220512-a-03.jpg

Bitcoin ร่วง 

ราคาบิตคอยน์ร่วงลงสู่ระดับต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์เช้านี้ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังตัวเลขเงินฟ้อของสหรัฐสูงกว่าคาด ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ราคาบิตคอยน์มีแนวโน้มทรุดตัวลงทดสอบระดับ 25,000 ดอลลาร์ หลังจากที่หลุดจากระดับ 30,000 ดอลลาร์ไปแล้ว

ราคาทองคำปรับขึ้น 100 บาท

ราคาทองคำประจำวันที่ 12 พ.ค.2565 ปรับขึ้น 100 บาท เทียบกับราคาสุดท้ายของวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยราคาขายออกทองรูปพรรณ อยู่ที่ 31,000 บาท ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ของ สมาคมค้าทองคำ หรือ Gold Traders Association เมื่อเวลา 09.26 น.ที่ผ่านมา

20220512-a-02.jpg

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสและเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น จากความกังวลต่อสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน

วันที่ 12 พฤษภาคม 2565 หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน บมจ.ไทยออยล์ ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสและเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น หลังตลาดกังวลความไม่แน่นอนในตลาดพลังงานโลก หลังรัสเซียปรับลดการส่งออกก๊าซธรรมชาติไปยุโรป จากผลกระทบของมาตรการคว่ำบาตรของหลายประเทศ ส่งผลให้ราคาน้ำมันและก๊าซปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่สหรัฐและพันธมิตรยังคงเจรจาถึงมาตรการคว่ำบาตรอย่างต่อเนื่อง

ราคาน้ำมันดิบเมื่อ 11 พ.ค. 65 เวสต์เท็กซัส อยู่ที่ 105.71 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 5.95%  เบรนท์ อยู่ที่ 107.51 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 5.05% และ ดูไบ อยู่ที่ 102.79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง 0.17%

มอร์แกนสแตนลีย์ชี้ตลาดหุ้นเอเชียใกล้ฟื้นตัว-อยู่ช่วงท้ายของภาวะตลาดหมี

มอร์แกน สแตนลีย์ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นในเอเชียและกลุ่มตลาดเกิดใหม่กำลังเข้าสู่ช่วงท้ายของภาวะตลาดหมี (Bear Market) อย่างไรก็ดี คาดว่าผลประกอบการและมูลค่าหุ้นของบริษัทจดทะเบียนยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเรียกว่าเป็นการพลิกฟื้น (Turnaround) 

โดยมอร์แกน สแตนลีย์ยังคงมีมุมมองการวิเคราะห์ในลักษณะแบบบนลงล่าง (Top-Down View) ซึ่งเป็นการมองจากภาพใหญ่ที่สุดลงมาที่ภาพเล็ก หรือเป็นการวิเคราะห์การลงทุนโดยพิจารณาจากเศรษฐกิจโดยรวมก่อน และใช้ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์มากำหนดขอบเขตการลงทุนให้แคบลง

ทีมนักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์ซึ่งรวมถึงนายโจนาธาน การ์เนอร์กล่าวว่า มอร์แกน สแตนลีย์ตระหนักถึงความเสี่ยงต่าง ๆ และความเป็นไปได้ที่ตลาดจะเผชิญกับภาวะขาลงในวันข้างหน้า แต่ก็เชื่อว่าตลาดกลุ่มนี้ยังคงมีศักยภาพ เนื่องจากได้เข้าสู่ช่วงท้ายของภาวะตลาดหมีแล้ว โดยได้เผชิญกับแรงกดดันในด้านต่าง ๆ อาทิ มูลค่า, กฎระเบียบ, ภูมิรัฐศาสตร์ และห่วงโซ่อุปทาน

ลอรา หวัง หนึ่งในทีมวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์กล่าวว่า ตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มเผชิญกับความผันผวน เนื่องจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 และเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มซบเซาลง พร้อมกับกล่าวว่า จีนกำลังเริ่มผ่อนคลายนโยบาย แต่กำหนดเวลาและขนาดของการผ่อนคลายขึ้นอยู่กับการควบคุมโควิด-19 ซึ่งบ่งชี้ว่าจีนยังคงเผชิญความเสี่ยง

ทั้งนี้ การที่ธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มหันมาใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงิน ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น และการที่จีนล็อกดาวน์เมืองสำคัญ ๆ ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อตลาดหุ้นเอเชียในปีนี้ โดยการร่วงลงเป็นเวลา 4 เดือนได้ส่งผลให้มูลค่าของตลาดหุ้นเอเชียหายไปกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์แล้วในปีนี้ ขณะที่ดัชนีหุ้นจีนอยู่ในกลุ่มดัชนีที่ปรับตัวย่ำแย่ที่สุดในโลก

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า มอร์แกน สแตนลีย์ได้แนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น เนื่องจากมีอัตราผลตอบแทนที่ดี รวมทั้งยังแนะนำให้ลงทุนในประเทศที่มีการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์หรือได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

มอร์แกน สแตนลีย์ได้แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน (Overweight) ในตลาดหุ้นบราซิล รวมทั้งยังแนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นซาอุดีอาระเบีย, ออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย และสิงคโปร์

ติดต่อโฆษณา!