10 มกราคม 2565
1,820

IAA แนะจัดพอร์ตลงทุนปี 65 ใน 100% แบ่งเป็นอะไรบ้าง?

IAA  แนะจัดพอร์ตลงทุนปี 65 ใน 100% แบ่งเป็นอะไรบ้าง?
สมาคมนักวิเคราะห์ ( IAA ) เปิดผลสำรวจนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน เสนอจัดพอร์ตการลงทุนปี 65 ใน 100% ควรลงทุนอะไรบ้าง? รวมทั้งคัดหุ้นเด่นปีเสือ พื้นฐานดีและมีความผันผวนน้อยและผลประกอบการดี มีแนวโน้มการฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ หลังสถานโควิดคลี่คลาย  ประกอบด้วย   ADVANC  CPALL  EA  KBANK  SCB และคาดว่า SET Index  สิ้นปี 65 แตะ 1760 แนะรัฐกระตุ้นภาคการบริโภค ด้วยการเพิ่มมาตรการลดหย่อนภาษี

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ( IAA ) กล่าวว่า ผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน รวม 25 สำนัก  เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในปี 2565 เพิ่อการจัดพอร์ตลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ สรุปได้ดังนี้

 

นักวิเคราะห์เพิ่มสมมติฐานหลัก ด้านการขยายตัวของจีดีพีไทยปี 2565 จะเติบโตที่ 3.71% เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากการสำรวจเมื่อ 3 เดือนก่อน ที่ 3.67% ขณะที่เพิ่มสมมุติฐาน ด้านราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเป็น 69.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ในครั้งก่อนอนู่ที่  68.54 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

 

สำหรับทิศทางการลงทุนในปี 2565 คาดว่าจะได้ผลบวกที่ชัดเจนมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ  ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยมีผู้โหวตถึง 92% ตามมาด้วย ภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย มีผู้โหวต 84% และสุดท้ายคือ แนวโน้มความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนและโควิดในไทยซึ่งมีผู้โหวต 80%

 

ส่วนปัจจัยด้านลบ มาจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางของสหรัฐฯ หรือ Fed มีผู้โหวตมากถึง 84% รองลงมาคือ การเตรียมลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและการเงิน หรือ  QE ทั่วโลก มีผู้โหวต 72% และ ตามติดมาด้วย แนวโน้มสถานการณ์โควิดของโลกที่สูงขึ้นอีกครั้ง มีผู้โหวต 68%

 

ทางด้าน อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ความเห็นส่วนใหญ่ 79% มองว่าน่าจะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดปีนี้  

 

ส่วนทางด้านผลกำไรต่อหุ้น ( EPS ) ของบริษัทจดทะเบียนปี 2565 เฉลี่ยที่ 89.59 บาทต่อหุ้น เป็นการเติบโต 11.82% จากปี 2564 อย่างไรก็ตามตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ ต่ำกว่าการสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 92.49 บาทต่อหุ้น

 

สำหรับ SET Index ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 ถูกคาดการณ์ว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสิ้นปี 2564 มากนัก ผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์คาดว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย สิ้นไตรมาสแรกปีนี้จะอยู่ที่ 1,665 จุด และเมื่อมองตลอดปี จะแกว่งตัวในกรอบ 1,546 ถึง 1,780 จุด และคาดการณ์ว่าสิ้นปี 2565 จะปิดที่ 1,760 จุด

 

สำหรับการจัดพอร์ตลงทุน ใน 100% แบ่งเป็นอะไรบ้าง

 

1.หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย       29.87%

2.หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ   28.96%

3.กองทุนตราสารหนี้                   16.96%

4.เงินสดและเงินฝากระยะสั้น       10.22%

5.กองทุนอสังหาฯหรือ REIT          8.09%

6.ทองคำหรือกองทุนทองคำ          5.35%

7.อื่นๆ                                          0.57%

 

ในส่วนของการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และสื่อสาร

 

ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจ การเกษตร ปิโตรเคมี  การแพทย์ และการท่องเที่ยว

 

ส่วนรายชื่อหุ้นเด่นที่แนะนำ ( มีจำนวนสำนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 4 สำนักขึ้นไป ) คือ

 

  

  • ADVANC  :  แนวโน้มเติบโตตามกระแสความต้องการใช้เทคโนโลยีและได้รับประโยชน์จากรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ค่าใช้จ่าย ลงทุนและการแข่งขันมีโอกาสลดลงหลังการควบรวมกิจการ DTAC-TRUE  ( โบรกให้ราคาเป้าหมายสูงสุด /ต่ำสุด /ราคาเฉลี่ยที่ :  260 บาท / 220 บาท  / 242 บาท ตามลำดับ ) 

 

  • CPALL : ปัจจัยสนับสนุนจาก 7-Eleven มากกว่า 80-90% สามารถเปิดได้ 24 ชั่วโมงได้ตามปกติ นอกจากนี้ Gross Profit Margin น่าจะเพิ่มสูงขึ้นเช่นกันจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน ซึ่งมีมาร์จินสูง  ( โบรกให้ราคาเป้าหมายสูงสุด /ต่ำสุด /ราคาเฉลี่ยที่ : 79 บาท  / 69 บาท / 72.50 บาท ตามลำดับ ) 

 

  • EA :   ปัจจัยสนับสนุนจาก Green Energy และ EV theme  ( โบรกให้ราคาเป้าหมายสูงสุด /ต่ำสุด /ราคาเฉลี่ยที่ :  122  บาท  / 51.50  บาท /  81.08  บาท ตามลำดับ ) 

 

  • KBANK :  ได้รับปัจจัยสนับสนุนเพิ่มจากเศรษฐกิจฟื้นตัวและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น  ( โบรกให้ราคาเป้าหมายสูงสุด /ต่ำสุด /ราคาเฉลี่ยที่ :  180  บาท  / 151 บาท /  169.50  บาท ตามลำดับ ) 

 

  • SCB :เติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการปรับโครงสร้างธุรกิจทำให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ( โบรกให้ราคาเป้าหมายสูงสุด /ต่ำสุด /ราคาเฉลี่ยที่ :  165  บาท  / 140 บาท /  151.20 บาท ตามลำดับ ) 

 

ส่วนหุ้นที่แนะนำให้หลีกเลี่ยง คือ ธุรกิจโรงแรมและสายการบิน รวมถึงหุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ บางบริษัทที่เคยวิ่งขึ้นกว่า 1,000% ในข่วงปี 2563-2564 เนื่องจากปัจจุบันแม้ราคาลงมาบ้าง แต่ยังคงเกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐาน

 

นอกจากนี้นักวิเคราะห์ยังได้เสนอแนะนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไปยังรัฐบาล ได้แก่ การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ วางแผนโครงสร้างเทคโนโลยีการผลิตระยะยาว รวมถึงโครงข่ายสื่อสารและขนส่ง

 

รวมถึงแนะนำให้ช่วยเหลือประชาชน โดยเร่งการฉีดวัคซีนเข็ม 3 และมาตรการให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษี เพื่อกระตุ้นภาคการบริโภค ส่วนด้านภาคธุรกิจนั้น ควรใช้นโยบายสนับสนุนสินเชื่อภาคธุรกิจเพิ่มเติม

ติดต่อโฆษณา!